อีกไม่กี่วันก็จะเดินทางเข้าสู่สิ้นปี 2019 กันแล้ว วันหยุดยาวที่จะถึงนี้มีแพลนเดินทางไปเที่ยวไหนกันหรือยังคะ? เชื่อว่าหลายคนคงเริ่มเตรียมตัวเก็บกระเป๋าเดินทาง แพ็คสัมภาระต่างพร้อมที่จะออกเดินทางไปยังประเทศจุดหมายปลายทางต่างๆ กันแล้ว แต่สำหรับหลายคนที่ยังไม่ได้วางแผนไปไหนในปีนี้ Travelzeed ได้รวบรวมลิสต์ 10 ประเทศน่าเที่ยวในปี 2020 โดย National Geographic นิตยสารธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ และสิ่งแวดล้อมชื่อดังระดับโลก มาให้เพื่อนๆ ได้วางแผนไปเที่ยวกันนะคะ จะมีที่ไหนบ้าง ไปดูกันเลย
1. Kamchatka Peninsula (คาบสมุทรคัมชัตคา)
ประเทศรัสเซีย
คาบสมุทรคัมชัตคา (Kamchatka Peninsula) คาบสมุทรทางภาคตะวันออก ของประเทศรัสเซีย ดินแดนที่มีความมหัศจรรย์ทางภูมิประเทศมากที่สุดอีกแห่งหนึ่งของโลก ไม่ว่าจะเป็นถ้ำน้ำแข็งที่สวยและอลังการที่สุดแห่งหนึ่งของโลก อย่างถ้ำคัมชัตคา (Kamchatka Cave) และบริเวณพื้นที่ดังกล่าวยังเป็นที่ตั้่งของเหล่าบรรดาภูเขาไฟที่ยังไม่ดับและมีการปะทุร้อนแรงอยู่อย่างต่อเนื่องเป็นระยะๆ ไม่มีที่ไหนในโลกนี้ที่คุณจะสามารถนั่งเฮลิคอปเตอร์ไปดูฝูงหมี ชิมปูยักษ์สดๆ ชมธารน้ำแข็งและทุ่งดอกไม้ป่า ตกปลาแซลมอนแปซิฟิก และพิชิตยอดภูเขาไฟได้ในที่เดียว ให้คาบสมุทรคัมชัตคาเป็นหนึ่งในทริปที่สุดยอดของคุณในปี 2020
ช่วงเวลาที่ควรมา : เดือนสิงหาคม – เดือนกันยายน
2. Abu Simbel (อาบูซิมเบล) ประเทศอียิปต์
หนึ่งในวิหารอันยิ่งใหญ่ที่มีความสวยงามอลังการที่หนึ่งของประเทศอียิปต์ ซึ่งถ้าใครได้มีโอกาสมาเยือนประเทศอียิปต์ แต่ไม่ได้มาที่นี่ ก็เหมือนยังมาไม่ถึงอียิปต์ก็ว่าได้ วิหารอาบูซิมเบลตั้งอยู่บริเวณทางตอนใต้ของประเทศอียิปต์ ใกล้กับบริเวณเขตแดนประเทศซูดาน ด้วยขนาดและลักษณะอันโดดเด่นที่มองเห็นได้แต่ไกล ทำให้มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากหลั่งไหลมาที่นี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเช้าตรู่ ไฮไลท์สำคัญของวิหารอาบูซิมเบลก็คือ การมาชมวิหารในยามเช้าที่ต้องแสงพระอาทิตย์อันเจิดจรัส รูปปั้นฟาโรห์รามเสสที่ 2 ในท่านั่งทั้ง 4รูป อาบแดดนวลตายิ่งขับให้สถานที่แห่งนี้สวยงามราวกับต้องมนต์สะกด สถาปัตยกรรมแห่งนี้สร้างโดยการเจาะแกะสลักจากภูเขาหินทรายทั้งลูก และถูกสร้างขึ้นในสมัยฟาโรห์รามเสสที่ 2 (Ramesess II) ในช่วงศตวรรษที่ 13 ก่อนคริสตกาล โดยแบ่งออกเป็น 2 วิหารด้วยกันคือ วิหารฟาโรห์รามเสสที่ 2 และวิหารพระราชินีเนเฟอร์ตารี พระมเหสีของพระองค์ ภายในวิหารทั้งคู่จะมีภาพเขียน รูปปั้น รูปแกะสลักต่างๆ ทางประวัติศาสตร์มากมายให้เราได้อย่างมากมาย
ช่วงเวลาที่ควรมา : เดือนกุมภาพันธ์ – เดือนมีนาคม
3. Puebla (ปูเอบลา / ปวยบลา) ประเทศเม็กซิโก
ปวยบลา เมืองใหญ่อันดับสี่ของประเทศเม็กซิโกที่เลื่องชื่อรือนามในเรื่องของวัฒนธรรมอาหารและสถาปัตยกรรมบาโรคอันยอดเยี่ยม โดยเป็นเมืองแรกที่สเปนสร้างขึ้นหลังยึดเม็กซิโกเป็นประเทศในอาณานิคม หลายสถานที่ตกแต่งด้วยกระเบื้อง Talavera กระเบื้องหลากลวดลายสีสันสดใส แหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่แนะนำให้มาคือ Cathedral de Puebla โบสถ์ประจำเมืองที่ตั้งตระหง่านอย่างสง่างามอยู่ใจกลางเมือง เป็นสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างบาโรก เรเนสซองส์และนีโอคลาสสิก คงความงดงามสไตล์ยุโรป นอกจากนี้ยังมีโบสถ์ Rosary Chapel โบสถ์อิฐสีเทาเข้มแสนงดงาม แท่นบูชาภายในทำมาจากทองคำ 23 กะรัต เช่นเดียวกันกับลวดลายประดับฝาผนังและเพดานที่เปล่งประกายสีเหลืองทองอร่าม วิจิตรสวยงามทุกมุมมองสมคำร่ำลือ สมกับเป็นเมืองแห่งสถาปัตยกรรม
ช่วงเวลาที่ควรมา : ตลอดทั้งปี
4. Mendoza Province (เมนโดซ่า) ประเทศอาร์เจนตินา
แหล่งผลิตไวน์ชั้นเลิศ คือคำนิยามของเมืองหลวงของรัฐเมนโดซา ประเทศอาร์เจนตินา เมื่อเดินทางถึงที่นี่คุณจะได้สัมผัสกับกลิ่นหอมหวานขององุ่นผลโตที่คละคลุ้งไปทั่วเมือง ไม่ต้องแปลกใจเพราะเมืองเมนโดซ่าขึ้นชื่อเรื่องการผลิตไวน์เป็นอย่างมาก ไร่องุ่นเรียงรายให้เราได้ชื่นชมตลอดสองข้างทาง ไวน์รสชาติดีดีกรีระดับโลกส่วนหนึ่งก็มาจากที่นี่ ผู้ชื่นชอบไวน์ไม่ควรพลาด
ช่วงเวลาที่ควรมา : เดือนมีนาคม – เดือนเมษายน
5. Parma (ปาร์มา) ประเทศอิตาลี
เมืองปาร์มา ต้นกำเนิดพาเมซานชีส (Parmesan cheese) และแฮม (Parma Ham) หลายชนิดที่กลายเป็นหนึ่งในวัตถุดิบอาหารทั่วโลก ไม่ใช่มีแค่เฉพาะของกินอร่อยเท่านั้น ยังมีโบราณสถาน
และแหล่งท่องเที่ยวน่าสนใจให้ชมกัน เช่น จตุรัสสวยกลางเมือง Piazza Garibaldi โบสถ์ที่งดงามศักดิ์สิทธิ์อย่าง “Sanctuary of Santa Maria della Steccata” และ Galleria Nazionale di Parma ที่มีงานศิลป์ชิ้นสำคัญอยู่มากมายให้เยี่ยมชม
ช่วงเวลาที่ควรมา : เดือนเมษายน – เดือนพฤษภาคม
6. Telč (เตลช์) สาธารณรัฐเช็ก
เตลช์ คือเมืองที่งดงามที่ซ่อนอยู่อยู่ทางใต้ของมอเรเวียของสาธารณรัฐเช็ก ใกล้กับเมืองยีห์ลาวา เมืองนี้ถูกสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 13 นอกจากอนุสรณ์สถานปราสาทยุคเรเนเซองส์ในศตวรรษที่ 17 พร้อมด้วยสวนสไตล์อังกฤษแล้ว วิวที่สวยงามของจัตุรัสเมือง บ้านเรือนที่เป็นเอกลักษณ์ เรียงรายไปด้วยตลาดพร้อมบ้านสไตล์เรเนซองส์และบาร็อกที่ได้รับการรักษาอย่างดี รวมถึงหลังคาหน้าจั่วและ Arcade ตั้งแต่ปี 1992 ทั้งหมดนี้ได้กลายเป็นมรดกโลกของ Unesco ด้วยความพิเศษเหล่านี้ที่นี่จึงเป็นอีกสถานที่ไม่ควรพลาดหากคุณมีโอกาสได้มาเที่ยวยุโรป
ช่วงเวลาที่ควรมา : เดือนพฤษภามคม – เดือนกันยายน
7. Guizhou Province (มณฑลกุ้ยโจว) ประเทศจีน
หลายท่านอาจจะไม่คุ้นเคยกับมณฑลกุ้ยโจวมากนัก แม้ว่าจะมีพื้นที่ติดต่อกับมณฑลหยุนหนาน หรือยูนานซึ่งเราจะรู้จักมณฑลยูนานมากกว่า คงเนื่องจากว่าการเดินทางไปมณฑลกุ้ยโจวที่ค่อนข้างลำบากในสมัยก่อน ปัจจุบันนี้การเดินทางค่อนข้างสะดวกสบาย เราสามารถนั่งรถไฟหัวจรวดจากเมืองคุนหมิงตรงไปถึงเมืองกุ้ยหยาง เมืองเอกของมณฑลกุ้ยโจวได้เลย โดยใช้เวลาเพียงสองชั่วโมงเศษเท่านั้น ที่กุ้ยโจวเต็มไปด้วยภูเขา ผืนน้ำที่ใสสะอาด ทั้งแม่น้ำ ทะเลสาบ น้ำตก อากาศหนาวเย็นที่ปกคลุมทั่วบริเวณ โดดเด่นด้านวัฒนธรรมชนกลุ่มน้อย มีชนกลุ่มน้อยมากถึง 17 ชนชาติ แวะดูน้ำตก “หวงกว่อซู่” (Huang–guo–shu) น้ำตกใหญ่ที่สุดของเอเชียและใหญ่ที่สุดของจีน จุดเด่นอีกประการหนึ่งของน้ำตกหวงกว่อซู่ คือ “ถ้ำสุ่ยเหลียน” อยู่หลังม่านน้ำตก ความยาว 134 เมตร และ “เมืองโบราณเซี่ยซื่อ” อายุเก่าแก่ราว 600 ปี ได้รับยกย่องเป็นเมืองไข่มุกบนแม่น้ำชิงสุ่ย เป็นดินแดนต้นกำเนิดกระเทียมแดงในประเทศจีน ทั้งเป็นบ้านเกิดแหล่งเพาะพันธุ์สุนัขสายพันธุ์พื้นเมืองที่มีชื่อเสียงระดับโลก
ช่วงเวลาที่ควรมา : เดือนเมษายน – เดือนพฤษภาคม
8. Mostar (มอสต้า) ประเทศบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา
มอสต้า เมืองใหญ่อันดับ 5 ของบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา ตั้งอยู่ในเขตเฮอร์เซโกวีนา มอสต้าคือแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของประเทศนี้ โดดเด่นด้วยสะพานหินเก่าแก่ข้ามแม่น้ำ Nereta ที่ไหลผ่านกลางเมือง จตุรัส Trg Musala อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ รวมไปถึงมัสยิด Karađoz-begova džamija มัสยิดเก่าแก่ที่สร้างมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1557 ภายในมีบันไดวน 78 ขั้น ที่ควรไปให้เห็นความงดงามกับตาตัวเองสักครั้ง
ช่วงเวลาที่ควรมา : เดือนพฤษภาคม
9. Kalahari Desert (ทะเลทรายคาลาฮารี)
ประเทศแอฟริกาใต้
ทะเลทรายคาลาฮารี ทะเลทรายในทวีปแอฟริกาใต้ ครอบคลุมพื้นที่ในประเทศบอตสวานา และบางส่วนของประเทศแอฟริกาใต้และนามิเบีย มีปริมาณน้ำฝนน้อยมาก ในฤดูร้อนมีอุณหภูมิสูงมาก เป็นหนึ่งในสถานที่ที่มืดที่สุดในโลกช่วงกลางคืนจึงเหมาะแก่การชมดาวมากที่สุด นอกจากนี้ยังมีแม่น้ำ Okavango Delta ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ โอกาวันโก้ ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น “สวนอีเดนแห่งทะเลทราย” และได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็น แหล่งมรดกโลกแห่งที่ 1,000 ของโลก เป็นเสมือนโอเอซิสของทะเลทรายคาลาฮารีที่แห้งแล้งของแอฟริกาใต้ อีกทั้งยังเป็นแหล่งอาศัยของสิ่งมีชีวิตจำนวนมาก ด้วยเหตุนี้สามเหลี่ยมปากแม่น้ำโอกาวันโก้จึงเป็นพื้นที่ ที่มีระบบนิเวศน์ที่สมบูรณ์มากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกนั่นเอง
ช่วงเวลาที่ควรมา : เดือนสิงหาคม – เดือนกันยายน
10. Tasmania (แทสมาเนีย) ประเทศออสเตรเลีย
แทสมาเนีย เกาะรูปหัวใจ ที่ห้อมล้อมไปด้วยธรรมชาติที่ยังสมบูรณ์ อากาศบริสุทธิ์ และสิ่งมหัศจรรย์ที่ธรรมชาติสรรสร้างเอาไว้มากมาย เป็นรัฐหนึ่งของประเทศออสเตรเลีย ตั้งอยู่ห่างออกไปราว 240 กม. ทางตอนใต้ของส่วนตะวันออกของทวีปออสเตรเลีย สถานที่ไฮไลท์คือ Bridestowe Lavender Farm ที่นี่เป็นสวนลาเวนเดอร์ที่ใครไปแทสมาเนียจะต้องมาเยือนให้ได้ รับรองว่าให้อารมณ์ที่ต่างไปจากสวนลาเวนเดอร์ที่ญี่ปุ่นอย่างแน่นอน อีกที่หนึ่งคือ Bay of Fires ที่ริมหาดนี้จะเต็มไปด้วยหินขนาดใหญ่ที่มีสีส้มเกาะอยู่ โดยสีส้มที่เราเห็นเกาะอยู่ที่ก้อนหินเหล่านี้เกิดจากไลเคนที่เกาะอยู่ เมื่อมองดูจากมุมไกลๆ พร้อมกับสีฟ้าสดใสที่ตัดกับสีของก้อนหินใหญ่เหล่านี้บอกเลยว่าเป็นอีกสถานที่ที่เมื่อได้ลองไปสัมผัสด้วยตัวเองแล้วจะต้องหลงรักกันอย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังมี Cradle Mountain และ Bruny Island ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน
ช่วงเวลาที่ควรมา : เดือนกันยายน – เดือนพฤษภาคม
แหล่งข้อมูล : National Geographic
สอบถามข้อมูลโปรแกรมทัวร์ : https://line.me/R/ti/p/@travelzeed
Instragram : @travel_zeed
Facebook https : https://www.facebook.com/Travelzeed/
Youtube Channel : https://bit.ly/2J1yNfZ