เดือนกันยายน เที่ยวไหนดี ? ถึงในช่วงเดือนนี้จะไม่ได้มีวันหยุดราชการ แต่อย่าท้อแท้ไปค่ะ เพียงเเค่วันหยุดสุดสัปดาห์ ใครว่าเที่ยวไม่ได้ หนีงานที่กองอยู่ตรงหน้า ไปพักผ่อนหย่อนกายที่ต่างประเทศกันดีกว่าค่ะ จะมีประเทศไหนน่าสนใจบ้าง แวะไปดูกันเลย
ปฏิทินวันหยุดประจําเดือน กันยายน 2567
เดือนกันยายน เที่ยวไหนดี ? แจก 15 พิกัดที่เที่ยวต่างประเทศ!
1. Casa Milà – Spain
สภาพอากาศ : ฤดูหนาว
อุณหภูมิ : 20-26 องศาเซลเซียส
คาซา มิลา – หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “La Pedrera” อพาร์ทเม้นท์ ที่ตั้งอยู่ที่บาร์เซโลนา ประเทศสเปน ผลงานของ Antoni Gaudi (อันตอนี เกาดี) สถาปนิกชาวกาตาลันที่ได้แรงบันดาลใจมาจากธรรมชาติ ด้วยเอกลักษณ์เฉพาะที่ไม่เหมือนใคร ทําให้ที่นี่ได้ถูกเสนอชื่อเป็นแหล่งมรดกโลกของยูเนสโกนั่นเองค่ะ
นอกจากสถาปัตยกรรมภายนอกที่งดงามและแปลกตาแล้ว บนชั้นดาดฟ้ายังมีรูปปั้นและผลงานประติมากรรมที่มีลวดลายสวยงามมากมาย อีกทั้งยังสามารถมองเห็นทั้งเมืองได้ในมุมกว้าง ถึงเป็นที่ที่นักท่องเที่ยวนิยมไปพักผ่อนและถ่ายรูปกัน
2. The Strahov Monastery – Czech Republic
สภาพอากาศ : ฤดูใบไม้ร่วง
อุณหภูมิ : 11-19 องศาเซลเซียส
พระอารามสตราร์โฮฟ – อารามโบราณที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1143 หนึ่งในสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่สําคัญของสาธารณรัฐเช็ก โดยก่อสร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบบาโรก และด้านนอกยังเห็นวิวของ แม่น้ำวัลตาวา (Vltava) ได้ด้วย
จุดเด่นของที่นี่อีกอย่างก็คือ ห้องสมุด Strahov ห้องสมุดที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยมีเพดานที่ประดับไปด้วย จิตรกรรมฝาผนัง และ ไม้แกะสลัก อีกทั้งยังเป็นแหล่งรวมเอกสารต้นฉบับ แผนที่ และตำราประวัติศาสตร์หายากอีกมากมาย
3. Gardens by the Bay – Singapore
สภาพอากาศ : ฤดูใบไม้ร่วง
อุณหภูมิ : 25-31 องศาเซลเซียส
การ์เด้นส์ บาย เดอะ เบย์ – สวนที่ตั้งอยู่ใจกลางสิงคโปร์ แหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับโลก ซึ่งผสมผสานเทคโนโลยีล้ำสมัยกับความงามตามธรรมชาติได้อย่างลงตัว โครงสร้างนี้ไม่เพียงแต่สวยสะดุดตา แต่ยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย
ไฮไลท์ของที่นี่คือ ช่วงกลางคืนซึ่งจะมีการแสดงแสงสีเสียงในเวลา 19.45 น. และ 20.45 น.วันละ 2 รอบ ให้บรรยากาศเหมือนอยู่ในโลกอนาคตเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีเรือนกระจก Cloud Forest กับ Flower Dome ซึ่งถือเป็นเรือนกระจกที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วยค่ะ
4. Cinque Terre – Italy
สภาพอากาศ : ฤดูใบไม้ร่วง
อุณหภูมิ : 17-25 องศาเซลเซียส
ชิงเคว แตร์เร – หมู่บ้านชาวประมงหลากสีที่สวยที่สุดในโลก ตั้งอยู่ที่ แคว้นลิกูเรีย (Liguria) ประเทศอิตาลี บริเวณเทือกเขาแอลป์ ติดทะเลเมดิเตอร์เรเนียน โดยที่นี่ขึ้นชื่อในเรื่องของเมืองที่มีสีสันสวยงามเด่นสะสุดตา อีกทั้งอยู่บนหน้าผาสูงชัน ทําให้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของทะเลได้ชัดเจน
นอกจากนี้ที่นี่ยังประกอบด้วยหมู่บ้าน 5 แห่ง ได้แก่ Monterosso al Mare, Vernazza, Corniglia, Manarola และ Riomaggiore โดยหมู่บ้านแต่ละแห่งเชื่อมต่อกันและยังสามารถมองเห็นไร่องุ่นขั้นบันไดที่ไหลลงมาจากเนินเขาได้ด้วย
5. Ine Fishing Village – Japan
สภาพอากาศ : ฤดูใบไม้ร่วง
อุณหภูมิ : 27-29 องศาเซลเซียส
หมู่บ้านชาวประมงอิเนะ – เป็นหมู่บ้านชาวประมงอันเงียบสงบที่ตั้งอยู่ตามแนวชายฝั่งทะเล จังหวัดเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งขึ้นชื่อเรื่อง ฟุนายะ หรือ บ้านเรือ แบบดั้งเดิมที่สร้างขึ้นริมน้ำ โดยออกแบบให้ชั้นล่างเป็นโรงจอดเรือ เหมาะกับกิจกรรมล่องเรือ ตกปลา และทานอาหารทะเล
หมู่บ้านแห่งนี้เรียกได้ว่าเป็นเหมือนอัญมณีที่ซ่อนอยู่ ซึ่งเปิดให้เราได้สัมผัสวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมและเรียบง่ายในญี่ปุ่น เป็นจุดหมายยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการหลีกหนีความวุ่นวายในเมือง และดื่มด่ำไปกับความงามอันล้ำค่าของหมู่บ้าน
6. Broken Beach – Indonesia
สภาพอากาศ : ฤดูแล้ง
อุณหภูมิ : 26-32 องศาเซลเซียส
ชายหาดโบรเคน – ชายหาดลับที่ตั้งอยู่บน เกาะนูซา (Nusa Penida Island) บาหลี ประเทศอินโดนีเซีย เป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่น่าทึ่ง และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยเป็นชายหาดที่มีช่องโหว่ตรงผาหิน ซึ่งถูกน้ำทะเลกัดเซาะจนทะลุเกิดเป็นรูกว้าง และมีซุ้มโค้งคล้ายประตูที่เป็นทางเชื่อมไปยังทะเล
นอกจากชายหาดแปลกตาแล้ว ในบริเวณใกล้เคียงยังมี แองเจิ้ลส์ บิลลาบอง (Angel’s Billabong) สระว่ายน้ำธรรมชาติที่น้ำใสราวกับคริสตัล เหมาะกับชมพระอาทิตย์ตกมาก ๆ เลยค่ะ
7. Arches National Park – America
สภาพอากาศ : ฤดูใบไม้ร่วง
อุณหภูมิ : 10-25 องศาเซลเซียส
อุทยานแห่งชาติอาร์เชส – เป็นอุทยานแห่งชาติที่ตั้งอยู่ใกล้ เมืองโมอับ (Moab) รัฐยูทาห์ สถานที่มหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่มีชื่อเสียงจากซุ้มหินธรรมชาติกว่า 2,000 แห่ง ซึ่งเกิดจากการกัดเซาะเป็นเวลาหลายล้านปี
โดยที่นี่มีแลนด์มาร์กชื่อดังอย่าง Delicate Arch และซุ้มหินอื่น ๆ เช่น Landscape Arch และ Double Arch ซุ้มหินที่เชื่อมกันรูปร่างแปลกตา ยิ่งในช่วงกลางคืนที่มีบรรยากาศเย็นสบาย ท้องฟ้าเปิดโล่ง มองเห็นดวงดาวนับพัน บอกได้เลยว่าเพลินตาสุด ๆ
8. The Dalmatian Coast – Croatia
สภาพอากาศ : ฤดูใบไม้ร่วง
อุณหภูมิ : 16-24 องศาเซลเซียส
ชายฝั่งแดลเมเชีย – เป็นชายฝั่งที่ทอดยาวเลียบทะเลเอเดรียติก ประเทศโครเอเชีย มีชื่อเสียงจากน้ำทะเลที่ใสและหมู่เกาะสวยงาม ซึ่งเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าไปเยี่ยมชมและทํากิจกรรมต่าง ๆ อย่าง ล่องเรือชมเกาะ หรือ ดํานํ้าดูปะการัง
นอกจากนี้ยังเต็มไปด้วยเมืองที่งดงามมากมาย เช่น เมืองดูบรอฟนิก (Dubrovnik) ซึ่งมักเรียกกันว่า “ไข่มุกแห่งทะเลเอเดรียติก”, เมืองสปลิท (Split) ซึ่งเป็นที่ตั้งของพระราชวังไดโอคลีเชียน และ เมืองโทรเกียร์ (Trogir) ที่ได้รับเลือกให้เป็นมรดกโลกของยูเนสโก อีกด้วย
9. Banff National Park – Canada
สภาพอากาศ : ฤดูใบไม้ร่วง
อุณหภูมิ : 1-12 องศาเซลเซียส
อุทยานแห่งชาติแบมฟ์ – อุทยานที่ตั้งอยู่ในเทือกเขาร็อกกี้ รัฐอัลเบอร์ตา หนึ่งในอุทยานแห่งชาติที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ขึ้นชื่อในเรื่องทัศนียภาพของเทือกเขาสูงอันน่าทึ่ง และทะเลสาบบริสุทธิ์ เป็นเหมือนสวรรค์สำหรับผู้ที่ชอบธรรมชาติเลยค่ะ
สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจภายในอุทยาน ได้แก่ ทะเลสาบหลุยส์ (Lake Louise) ที่มีน้ำทะเลสีฟ้าใสท่ามกลางยอดเขาสูง และ ทะเลสาบโมเรน (Moraine Lake) ซึ่งรายล้อมไปด้วย หุบเขา Valley of the Ten Peaks ที่สร้างภูมิทัศน์ที่น่าประทับใจไม่รู้ลืม
10. Ban Gioc Waterfall Cao Bang – Vietnam
สภาพอากาศ : ฤดูใบไม้ร่วง
อุณหภูมิ : 22-32 องศาเซลเซียส
นํ้าตกบ๋านโจก – เป็นน้ำตกที่ใหญ่และสวยงามที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แห่งเมืองกาวบั่ง (Cao Bang) ซึ่งไหลลงมาจากหน้าผาสูง ระหว่างพรมแดนเวียดนามและจีน สร้างทัศนียภาพที่น่าทึ่ง อีกทั้งยังมีชื่อเสียงในด้านทิวทัศน์ธรรมชาติที่สวยงามและอุดมสมบูรณ์
นอกจากนั้นแล้ว นํ้าตกแห่งนี้ยังเป็นถึงนํ้าตกที่มีขนาดใหญ่สุดเป็นอันดับ 4 ของโลกรองมาจาก น้ำตกไนแอการา , น้ำตกวิกตอเรีย และ น้ำตกอีกวาซู อีกด้วยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูฝนเมื่อน้ำไหลแรง บรรกาศดีน่าไปเที่ยวชมมากเลยค่ะ
11. Bondi Beach – Australia
สภาพอากาศ : ฤดูใบไม้ผลิ
อุณหภูมิ : 13-20 องศาเซลเซียส
หาดบอนได – เป็นหาดที่ตั้งอยู่ห่างจากเมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ถือเป็นหนึ่งในหาดที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก และเป็นจุดหมายปลายทางที่ไม่ควรพลาดสำหรับนักท่องเที่ยวและคนในท้องถิ่น โดยเป็นที่รู้จักจากหาดทรายสีทองรูปพระจันทร์เสี้ยวนั่นเอง
นอกจากความสวยงามตามธรรมชาติแล้ว ที่นี่ยังมี ร้านค้า ร้านอาหารอีกมากมาย รวมถึงกิจกรรมเด่น ๆ ของที่นี่ ได้แก่ การอาบแดด หรือ ว่ายน้ำ แต่สิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากที่สุดก็คือ เซิร์ฟ หรือ กระดานโต้คลื่น นั่นเองค่ะ
12 Munich – Germany
สภาพอากาศ : ฤดใบไม้ร่วง
อุณหภูมิ : 10-19 องศาเซลเซียส
เมืองมิวนิค – เมืองหลวงของ แคว้นบาวาเรีย ประเทศเยอรมนี เป็นหนึ่งในเมืองที่มีชื่อเสียงในด้านประวัติศาสตร์อันยาวนาน และสถาปัตยกรรมที่สวยงาม ซึ่งจะคึกคักเป็นอย่างมากในช่วงเดือนกันยายนเนื่องจากจะมีเทศกาล ออกโทเบอร์เฟส (Oktoberfest) ซึ่งเป็นเทศกาลดื่มเบียร์นั่นเองค่ะ
เทศกาลเบียร์ ออกโทเบอร์เฟส (Oktoberfest) ซึ่งจะจัดขึ้นวันที่ 21 กันยายน – 6 ตุลาคม ภายในงานเทศกาลจะมีกิจกรรม และเกมสนุก ๆ มากมาย ทั้งเต้นท์เบียร์หลากหลายยี่ห้อ ร้านอาหารที่มีตั้งเเต่อาหารท้องถิ่นไป จนถึงอาหารสุดหรู รวมถึงงานเดินขบวนสุดยิ่งใหญ่
13. Galápagos Islands – Ecuador
สภาพอากาศ : ฤดูแล้ง
อุณหภูมิ : 18-24 องศาเซลเซียส
เกาะกาลาปากอส – เป็นหมู่เกาะที่ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก ห่างจากชายฝั่งเอกวาดอร์ประมาณ 1,000 กิโลเมตร ซึ่งเป็นเกาะที่มีความหลากหลายทางชีวภาพและมีระบบนิเวศที่แปลกประหลาดที่สุดแห่งหนึ่ง อีกทั้งยังขึ้นชื่อเรื่องสัตว์ป่าที่แปลกตา และทิวทัศน์ทางทะเลที่สวยงาม
โดยหมู่เกาะนี้เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์หายากสายพันธุ์ต่างๆ มากมาย เช่น เต่าทะเลขนาดใหญ่ อิกัวน่า สิงโตทะเล ปลากระเบนราหู และนกบูบีตีนฟ้า อันโด่งดัง ถ้าอยากมาสัมผัสความพิศวงของธรรมชาติต้องที่นี่เลย
14. Teatro Colon – Argentina
สภาพอากาศ : ฤดูใบไม้ผลิ
อุณหภูมิ : 10-20 องศาเซลเซียส
โรงละครโคลอน – เป็นโรงละครขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในบัวโนสไอเรส หนึ่งในโรงละครที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก เปิดทำการในปี 1908 โดยมีการก่อสร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบเรเนซองส์ กับ บาโรกฝรั่งเศส สะท้อนถึงอิทธิพลของยุโรปในสมัยนั้น
โรงละครแห่งนี้ถูกใช้เป็นสถานที่จัดการแสดงต่าง ๆ มากมาย เช่น โอเปร่า บัลเล่ต์ และคอนเสิร์ตดนตรีคลาสสิก โดยมีศิลปินชื่อดังมาแสดง เรียกได้ว่าถ้ามาที่นี่จะทำให้คุณได้สัมผัสกับประสบการณ์ที่ไม่มีวันลืมเเน่นอนค่ะ
15. Dongchuan Red Land – China
สภาพอากาศ : ฤดใบไม้ร่วง
อุณหภูมิ : 12-20 องศาเซลเซียส
ภูเขาเจ็ดสี – เป็นภูเขาที่ตั้งอยู่ในมณฑลยูนนานของจีน มีชื่อเสียงเรื่องภูเขาที่มีทิวทัศน์สีสันสดใส จนได้รับสมยานามว่า “จานสีของพระเจ้า” เนื่องจากมีทั้ง ดินสีแดง พืชสีเขียว บัควีทสีเหลือง และดอกมันฝรั่งสีขาวที่ปลูกโดยเกษตรกรท้องถิ่น
ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเยี่ยมชม คือ ช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ และ ฤดูใบไม้ร่วง เนื่องจากทุ่งนาจะมีสีสันสดใสที่สุด อีกทั้งที่นี่ยังไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมากนัก ทําให้ได้สัมผัสกับบรรยากาศเเสนสงบได้แบบเต็มอิ่มกันเลยทีเดียว