การช้อปปิ้งในญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในกิจกรรมยอดนิยมของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั่วโลก โดยเฉพาะการใช้สิทธิ์ “Tax Free” ที่ช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้ไม่น้อย อย่างไรก็ตาม ประเทศญี่ปุ่นเตรียมปรับระบบการยกเว้นภาษีใหม่จากเดิมที่เป็น Tax Free มาเป็น Tax Refund ทั้งหมด ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อรูปแบบการช้อปปิ้งและขั้นตอนการขอคืนภาษีของนักท่องเที่ยวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การเตรียมตัวให้พร้อมและเข้าใจระบบใหม่ล่วงหน้าจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกคนไม่ควรมองข้าม
Tax Free และ Tax Refund ในญี่ปุ่น ต่างกันยังไง?
Tax Free คืออะไร?
Tax Free คือ ระบบที่นักท่องเที่ยวสามารถซื้อสินค้าที่ร่วมรายการ โดยไม่ต้องจ่ายภาษีทันที ณ จุดซื้อ เพียงแสดงพาสปอร์ต และกรอกแบบฟอร์มในร้านค้าที่ร่วมรายการ ซึ่งวิธีนี้สะดวกและรวดเร็วมากๆ แต่ก็มีความเสี่ยงในการนำสินค้ากลับมาใช้ภายในประเทศญี่ปุ่นอย่างผิดกฎหมาย
Tax Refund คืออะไร?
Tax Refund คือ ระบบใหม่ ที่นักท่องเที่ยวจะต้องจ่ายภาษีเต็มจำนวนไปก่อน อัตราภาษีบริโภคมาตรฐานของญี่ปุ่น 10% และภาษี 8% สำหรับสินค้าอาหาร แล้วจึงขอคืนภาษีภายหลัง ณ สนามบินหรือจุดคืนภาษี โดยแสดงสินค้าจริงและเอกสารที่เกี่ยวข้อง และจะต้องมีการขอรับเงินคืนภายใน 90 วันหลังจากซื้อสินค้าเพื่อยืนยันว่าสินค้ากำลังออกจากประเทศญี่ปุ่น
ตารางเปรียบเทียบ Tax Free และ Tax Refund แบบเข้าใจง่ายๆ
รายละเอียด | Tax Free (เดิม) | Tax Refund (ใหม่) |
สถานที่ขอคืน | ร้านค้าที่ร่วมรายการ | สนามบิน หรือจุดคืนภาษี |
วิธีการคืนภาษี | ได้ส่วนลดภาษีทันทีตอนซื้อ | จ่ายเงินเต็มจำนวน แล้วขอคืนภายหลัง |
สถานที่ขอคืน | ไม่จำเป็น | อาจต้องแสดง เมื่อมีการเรียกขอตรวจสอบ |
***เหตุผลในการเปลี่ยนระบบ*** ญี่ปุ่นต้องการป้องกันการใช้ระบบ Tax Free อย่างผิดวัตถุประสงค์ ลดการหลีกเลี่ยงภาษี และทำให้การตรวจสอบเป็นไปอย่างโปร่งใสยิ่งขึ้น
Tax Refund ญี่ปุ่น เริ่มใช้เมื่อไหร่
ญี่ปุ่นมีกำหนดการเปลี่ยนระบบการคืนภาษีจาก Tax Free เป็น Tax Refund ในปี 2026 แต่อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ยังไม่มีการประกาศวันที่ที่แน่นอนสำหรับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว
หมายเหตุ : ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลงกรุณาตรวจสอบอีกครั้ง
ขั้นตอนการขอ Tax Refund
เมื่อ ซื้อสินค้า ที่ร้านค้าที่เข้าร่วมระบบ Tax Refund พร้อมชำระภาษีเต็มจำนวน
- เก็บใบเสร็จ ที่ร้านค้าออกให้
- เดินทางไปสนามบิน และมุ่งหน้าสู่เคาน์เตอร์ศุลกากรเพื่อขอคืนภาษี
- แสดงพาสปอร์ต, ใบเสร็จ, สินค้า และกรอกแบบฟอร์มตามที่กำหนด
- รับเงินคืน ได้ที่เคาน์เตอร์หรือในบางกรณีโอนเข้าบัตรเครดิต
ข้อควรระวัง : หากไม่สามารถแสดงสินค้า ณ จุดตรวจศุลกากรได้ หรือหากส่งของกลับบ้านเองโดยไม่ได้ผ่านร้านค้าโดยตรง จะไม่ได้รับภาษีคืน
เอกสารที่ต้องเตรียมขอ Tax Refund
- พาสปอร์ต (Passport)
- ใบเสร็จรับเงิน (Receipt)
- แบบฟอร์ม Tax Refund ที่ออกโดยร้านค้า
- สินค้าที่ซื้อ (ต้องยังไม่ได้ใช้)
- บัตรเครดิต (ในกรณีรับคืนผ่านบัญชี)
คำแนะนำ : ควรจัดเก็บเอกสารไว้ในที่ปลอดภัย และแยกออกจากสัมภาระโหลดใต้เครื่อง
สถานที่ขอคืนภาษี Tax Refund
- เคาน์เตอร์ศุลกากร ณ สนามบินนานาชาติทั่วญี่ปุ่น เช่น Narita, Haneda, Kansai, Chubu
- ท่าเรือหลักที่มีศุลกากร
- จุดขาออกพิเศษที่รองรับนักท่องเที่ยว
เวลาทำการ : ส่วนใหญ่เปิดตามเวลาทำการของสนามบิน (บางแห่งเปิด 24 ชั่วโมง)
หมายเหตุ : ควรเผื่อเวลาอย่างน้อย 1–2 ชั่วโมงเพื่อดำเนินการ
ข้อควรระวังและข้อกำหนดต่างๆ
- ไม่สามารถใช้ “ใบส่งของ” (Delivery Slips) เป็นหลักฐานได้อีกต่อไป
- หากต้องการส่งของกลับประเทศ ต้องให้ร้านค้าทำการส่งโดยตรง
- สินค้าที่เปิดใช้แล้วจะไม่สามารถขอคืนภาษีได้
- สินค้าต้องนำออกจากญี่ปุ่นภายในระยะเวลาที่กำหนด
เคล็ดลับ : หลีกเลี่ยงการซื้อสินค้าที่มีข้อจำกัดและตรวจสอบข้อกำหนดกับร้านค้าก่อนเสมอ
สินค้าที่ไม่สามารถขอคืนภาษีได้ (Non-Refundable Items)
- อาหารสดและของกินที่มีวันหมดอายุ
- ยาและผลิตภัณฑ์ที่ใช้แล้ว
- บริการ (เช่น โรงแรม, ค่าเดินทาง)
- สินค้าที่ใช้หรือเปิดแล้ว
เหตุผล : สินค้าเหล่านี้อาจไม่สามารถยืนยันได้ว่าไม่ได้ใช้ภายในญี่ปุ่น หรือมีข้อจำกัดตามกฎหมาย
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและนักท่องเที่ยว
1. ต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่น ระบบใหม่ช่วยลดช่องโหว่ภาษี ทำให้รัฐสามารถจัดเก็บภาษีได้อย่างโปร่งใสและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
2. ต่อนักท่องเที่ยว แม้ขั้นตอนจะเพิ่มขึ้น แต่ก็ช่วยเพิ่มความมั่นใจในความถูกต้องและความปลอดภัยของระบบ นักท่องเที่ยวที่วางแผนล่วงหน้าและเตรียมเอกสารให้พร้อมจะยังได้รับประโยชน์จาก Tax Refund ได้เหมือนเดิม
3. ต่อร้านค้า ร้านค้าต้องปรับตัวเพื่อรองรับระบบใหม่ อาจมีการจัดอบรมพนักงานและเพิ่มบริการจัดส่งสินค้ากลับประเทศเพื่อรักษายอดขายจากนักท่องเที่ยว