หลังจากคาซัคสถานได้มีการอนุมัติฟรีวีซ่า เมื่อวันที่ 18 เม.ย. 2567 ที่ผ่านมา ล่าสุด จากข้อมูลเว็บไซต์ของกระทรวงการต่างประเทศ พบว่า คนไทยสามารถเดินทางไปยัง สาธารณรัฐแอลเบเนีย หรือ “แอลเบเนีย” (Albania) หนึ่งในประเทศภูมิภาคยุโรปตะวันออกเฉียงใต้ แบบฟรีวีซ่าได้แล้ว สูงสุดถึง 90 วัน โดยมีระยะเวลาตั้งแต่ 6 มีนาคม – 31 ธันวาคม 2567
อัพเดทข้อมูล แอลเบเนีย
แอลเบเนีย หรือชื่อทางการคือ สาธารณรัฐแอลเบเนีย เป็นประเทศแถบเมดิเตอร์เรเนียนในยุโรปตะวันออกเฉียงใต้ มีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงาม และค่าใช้จ่ายไม่สูง คนไทยสามารถอยู่เที่ยวที่นี่ได้นานถึง 90 วัน โดยไม่ต้องขอวีซ่า
เมืองหลวง
เมืองหลวงของแอลเบเนีย คือ เมืองทีรานา (Tirana) ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางการเมือง, เศรษฐกิจ, และวัฒนธรรมของประเทศ ทีรานาตั้งอยู่ในส่วนกลางของประเทศและเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในแอลเบเนียด้วย
ค่าครองชีพ
ค่าครองชีพในแอลเบเนียอาจจะต่ำกว่าหลายประเทศในยุโรปตะวันตก แต่ก็แตกต่างกันไปตามพื้นที่และสภาพเศรษฐกิจในแต่ละช่วงเวลา โดยทั่วไปแล้วค่าใช้จ่ายสำหรับการเช่าที่อยู่อาศัย, อาหาร, การขนส่ง และบริการต่างๆ นั้นค่อนข้างจะถูก
แอลเบเนียใช้ภาษาอะไร?
ประเทศแอลเบเนียใช้ภาษาแอลเบเนียเป็นภาษาราชการหลัก ภาษาแอลเบเนียมีสองสำเนียงหลัก คือ สำเนียงเกก ซึ่งใช้ในภาคเหนือของประเทศ และ สำเนียงทอสก์ ที่ใช้ในภาคใต้
สภาพอากาศที่แอลเบเนีย
สภาพอากาศในแอลเบเนียมีลักษณะเป็นอากาศเมดิเตอร์เรเนียนที่มีอากาศอบอุ่นและแห้งในช่วงฤดูร้อน และมีฤดูหนาวที่อากาศเย็นและมีความชื้น นอกจากนี้ บางส่วนของประเทศมีภูมิอากาศภูเขาที่สามารถมีอุณหภูมิต่ำและมีหิมะตกในช่วงฤดูหนาวได้ ภาพรวมของอากาศในแต่ละฤดูกาล คือ
- ฤดูร้อน (มิ.ย. – ส.ค.) อากาศอบอุ่นถึงร้อนมาก โดยอุณหภูมิอาจสูงถึง 30-40 องศาเซลเซียส ในช่วงฤดูร้อนชายฝั่งทะเลเป็นที่นิยมสำหรับนักท่องเที่ยวเนื่องจากมีอากาศที่เหมาะสำหรับกิจกรรมกลางแจ้งและการพักผ่อนหย่อนใจ
- ฤดูใบไม้ร่วง (ก.ย. – พ.ย.) อากาศเริ่มเย็นลง มีฝนตกบ้าง และอุณหภูมิเริ่มลดลงอย่างเห็นได้ชัด สภาพอากาศยังคงอบอุ่นพอสมควรในเดือนกันยายน แต่จะเย็นลงในเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน
- ฤดูหนาว (ธ.ค. – ก.พ.) มีอากาศเย็นและบางครั้งจะมีหิมะตกในบริเวณภูเขาสูง อุณหภูมิอาจต่ำถึงหลายองศาต่ำกว่า 0 ในบางพื้นที่ และมีฝนตกเป็นประจำในช่วงนี้
- ฤดูใบไม้ผลิ (มี.ค. – พ.ค.) อากาศเริ่มอบอุ่นขึ้นและมีฝนตกบ้าง เป็นช่วงที่เหมาะสำหรับการท่องเที่ยวที่สุด เนื่องจากธรรมชาติเริ่มเขียวชอุ่มและดอกไม้บานสะพรั่ง
TOP 5 ที่เที่ยวเมืองแอลเบเนีย
1.Theth
เป็นหมู่บ้านบนภูเขาที่เงียบสงบที่สุดในแอลบาเนีย โดยตั้งอยู่ระหว่างเทือกเขาแอลป์แอลเบเนีย ใกล้กับชายแดนของประเทศมอนเตเนโกร ซึ่งจะมีเพียงบ้านไม่กี่หลัง รอบล้อมด้วยภูเขาและทุ่งหญ้าเขียวชอุ่มที่เต็มไปด้วยดอกไม้ป่า
โดยในหมู่บ้านจะได้พบกับหอคอยนิโคลโคเชกู (Tower of Nikoll Koceku) หอคอยที่มีอายุนับศตวรรษ ส่วนนอกเมืองจะได้สัมผัสกับอุทยานแห่งชาติเทรท (Thethi National Park) ที่มีน้ำตกที่น่าตื่นตาตื่นใจและหุบเขากรูนาส
2.Gjirokastra
เป็นสถานที่ที่ได้รับการยกย่องขึ้นเป็นมรดกโลกของ UNESCO และเป็นหนึ่งในสถานที่ที่น่าดึงดูดที่สุดในประเทศแอลเบเนีย ตั้งอยู่บนเนินสูงชันของหุบเขาแม่น้ำ Drino เมืองนี้ได้รับฉายาว่า “เมืองแห่งก้อนหิน” เพราะมีถนนที่ปูด้วยก้อนหินอันสวยงาม
มรดกทางวัฒนธรรมในเมืองนี้มีความสมบูรณ์ มีดนตรีพื้นเมือง งานฝีมือ และเทศกาลฟอล์คลอร์แห่งชาติ อีกทั้งยังมีชื่อเสียงในเรื่องจัดแสดงดนตรี การเต้นรำ และชุดประจำชาติของแอลเบเนียทุก ๆ 5 ปีอีกด้วย
3.Shkodra
ชโคดราเป็นหนึ่งในเมืองเก่าแก่ที่สุดของประเทศ โดยตั้งอยู่ติดกับทะเลสาบชโคดรา (Lake Shkodra) ที่แม่น้ำทั้ง 3 สายมาบรรจบกัน ด้วยอาคารที่ทาสีพาสเทลสีสันสวยงามและจัตุรัสอันหรูหรา ทำให้ที่นี่มีบรรยากาศแบบอิตาลีที่โดดเด่นมากเลยทีเดียว
หนึ่งในสถานที่ยอดนิยมของนักท่องเที่ยว คือ ปราสาทโรซาฟา (Rozafa Castle) ตั้งอยู่บนภูเขาหินทางเหนือของเมือง อีกทั้งยังเคยเป็นป้อมปราการของชาวอิลลีเรียนมาก่อน หากมองจากบนป้อมปราการจะทำให้เห็นวิวทิวทัศน์อันสวยงามโดยรอบของทะเลสาบอีกด้วย
4.Ksamil
คซามิลเป็นหมู่บ้านชายฝั่งที่สวยงามตั้งอยู่ทางใต้ของแอลเบเนีย ใกล้กับเมืองซารันดา หมู่บ้านแห่งนี้อยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติบูตริน โด่งดังในเรื่องน้ำทะเลใสประกายสวยงาม พื้นที่โดยรอบปกคลุมไปด้วยป่าไม้เขียวชอุ่ม ชายหาด และเกาะเล็กเกาะน้อย และได้ชื่อว่าเป็นชายหาดที่สวยที่สุดในแอลเบเนีย
ที่นี่เรียกได้ว่าเป็นสวรรค์เล็กๆ ในแอลเบเนียเลยก็ว่าได้ ซึ่งเหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการพักผ่อนริมชายหาด พร้อมกับการสำรวจวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ เพราะเหตุนี้ จึงเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวหลาย ๆ คนนั่นเอง
5.Butrint
บุตรินท์เป็นเป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่น่าประทับใจที่สุดในแอลเบเนียและได้รับการจดทะเบียนขึ้นเป็นมรดกโลกของ UNESCO เนื่องจาก เป็นเมืองกรีกโบราณที่เต็มไปด้วยหินและก้อนหินสีเหลืองดอกทานตะวัน โรมัน และออตโตมัน ซากปรักหักพังและโบราณวัตถุที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี
หากใครไปเที่ยวที่บุตรินท์ก็จะได้ศึกษาอารยธรรมโบราณที่เคยเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาคเมดิเตอร์เรเนียน ใครที่ชอบการสำรวจหรือสนใจในโบราณคดี บอกเลยว่าสถานที่นี้จะตอบโจทย์คุณอย่างแน่นอน!