“คาวา อีเจี้ยน – THE RING OF FIRE”
แล้วก็มาต่อกันในวันที่สองหลังจากที่วันแรกขาสั่นเพราะเดินขึ้นปากปล่องภูเขาไฟโบรโม่ไปแล้ว
การเดินทางเพื่อไปขึ้นภูเขาไฟคาวาอีเจี้ยน เราต้องออกเดินทางกันตั้งแต่ตีหนึ่งโดยนั่งรถจี๊ป ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. ก็จะถึงจุดเริ่มต้นที่เราต้องเดินเท้าขึ้นไปบนปล่องภูเขาไฟ ด้วยความที่ไปถึงเร็ว จึงยังไม่เจอนักท่องเที่ยวมากนัก อากาศก็เย็นสบายๆ ทำให้คิดว่า “สบายละทริปนี้” …..จุดเริ่มต้นความมันส์อยู่ตรงนี้!!
สำหรับใครที่รู้ตัวว่าไม่ไหวแน่ๆ สามารถเดินทางขึ้นไปโดยใช้บริการ “แท็กซี่” ….ใช่ครับแท็กซี่ แต่เป็นแท็กซี่มนุษย์ เขาจะมีรถเข็นที่ใส่เบาะอย่างดีเพื่อให้เรานั่งเหยียดขาได้สบายๆแล้วจะมีคนลากเราข้างหน้าสอง ข้างหลังอีกหนึ่ง ด้วยความที่เราเป็นชายหนุ่มที่เคยเข้าฟิตเนสประจำ เดินชันบนลู่วิ่งทุกวัน วันละหนึ่งชม. แต่ก็เป็นเรื่องที่ผ่านมาเป็นปีแล้ว ผมจึงไม่ลังเลที่จะ “ใช้บริการแท็กซี่ให้ไว” ฮ่าๆๆๆๆ
ระยะทางเกือบสามกิโลฯที่ผมใช้บริการแท็กซี่ เห็นเพื่อนร่วมทริปเดินกันเหงื่อแตกพลั่กตั้งแต่ 15 นาทีแรก ก็พลางคิดในใจ“โชคดีของกูละ เราไม่สามารถแแบกน้ำหนัก 80 กว่าโลฯของตัวเองบวกกระเป๋าหนึ่งใบขึ้นไปถึงปล่องได้แน่ๆ”
แต่ก็มีบางช่วงที่ลองเดินดูนะ แป้บเดียวเท่านั้นล่ะ เดินมานั่งรถเหมือนเดิม “ทำไมเพื่อนร่วมทริปแต่ละคนมันอึดกันนักนะ” แต่สิ่งที่ทำให้อึ้งมากจนถึงทุกวันนี้ก็คือ พวกลูกหาบที่ลากเราขึ้นไป ปอดเขา ร่างกายเขา ทำมาจากอะไร?? ทำไมถึงได้อึด ถึก ทนได้ขนาดนี้ ยิ่งใกล้ปล่องทางยิ่งชันมากกกก ถามเขาแล้วนะว่าไหวไหม? ตรงนี้ผมลงเดินได้นะ แต่เขาบอกว่า “It’s OK my Friend Don’t Worry” ก็เอาวะ ไหวก็ไหว
สรุปว่าลุ้นเหนื่อย ตื่นเต้นไปอีกแบบ ฮ่าๆๆๆ โคตรอยากถ่ายรูปมาให้ดู แต่ภูมิทัศน์ตลอดทางมืดมากๆ ถ่ายออกมาไม่เห็นอะไรทั้งนั้นนอกจากแสงไฟจากไฟฉายคนละกระบอกที่ถือกันไป ระหว่างทางขึ้นลงเนี่ยจะมีจุดแวะพักให้ได้ทานของว่างกันเล็กๆน้อยๆด้วยนะ ไม่ต้องห่วงว่าจะขาดน้ำหรือท้องว่างเลย
ผ่านสองชม.กว่าแล้วก็มาถึงปากปล่องจนได้
จากจุดนี้เราต้องเดินเท้าลงไปในปล่องอีก 40 นาทีโดยประมาณ ลองนึกภาพทางขึ้นลงเขาที่แคบๆดู แล้วต้องเดินขึ้นมาอีก ไอเราก็ห่วงสุขภาพหัวเข่าเพราะเคยผ่ามาสองรอบแล้ว ก็เลยขอนั่งรอด้านบนดูพระอาทิตย์ขึ้นละกัน มีคนนั่งรอด้านบนอยู่หลายกลุ่มเหมือนกัน ไม่รู้จะทำอะไรเลยเข้าเว็บดูลิเวอร์พูลถล่มวัตฟอร์ดไปเบาๆ 5-0 บนปล่องสัญญาณดีใช้ได้นะครับ
จนมาถึงช่วงเวลาที่พระอาทิตย์เริ่มขึ้น ภาพบรรยากาศบนปากปล่อง และทะเลสาปสีเขียวที่ใจกลางปล่องก็เริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ เป็นภาพที่งดงามจริงๆ ยอมรับว่าในชีวิตไม่เคยคิดว่าจะได้มาอยู่ปล่องบนภูเขาไฟที่พร้อมปะทุได้ทุกเมื่อแบบนี้ ในขณะที่ด้านบนเริ่มสว่าง มองลงไปด้านล่างก็เห็นแสงไฟจากไฟฉายของคนที่เดินลงไปด้านล่างและแสงสีฟ้าจาก
“Blue Fire” “Blue Flame”
หรือเปลวไฟสีฟ้าซึ่งเกิดจากการเผาไหม้ของกำมะถัน ซึ่งควันจากกำมะถันนี่จะเยอะมาก นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเราต้องใส่หน้ากากกันแก๊ส (สามารถหาเช่าได้ที่จุดสตาร์ท) ว๊าววว!! มันอะเมซซิ่งนะ ได้มาเห็นอะไรที่ไม่เคยเห็นแบบนี้ ได้เห็นแล้วหายเหนื่อยแน่นอน เป็นอะไรที่คุ้มค่าควรแก่การเหนื่อยจริงๆ
ทะเลสาบสีควอเตอร์อันงดงามกลางปล่องภูเขาไฟที่ดับสนิท
ไฮไลค์สำคัญของทริปนี้ ทะเลสาบนี้ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆอาศัยอยู่ และยิ่งตะวันทอแสงขึ้นฟ้า ควันจากกำมะถันเริ่มจาง ยิ่งส่องสว่างให้เห็นความงดงามของบรรยากาศโดยรอบ
ด้านล่างปล่องภูเขาไฟจะมีคนงานที่คอยขุดแร่เพื่อแบกขึ้นไปขาย มาตั้งเต้นท์อยู่กันด้วย ในหาบแต่ละรอบที่ต้องแบกหินแร่ขึ้นไปมีน้ำหนักถึง 70 กิโลกรัมกันเลยทีเดียว เดินเฉยๆก็จะไม่ไหวละ นี่ต้องแบกขึ้นไปบนปากปล่องอีก (อึ้งกับแท็กซี่แล้วต้องมาอึ้งตรงนี้ต่ออีก)
เก็บภาพกันจนหนำใจแล้วก็รอเพื่อนร่วมทริปเพื่อเดินลงไปพร้อมๆกัน โดยแท็กซี่จะจอดรออยู่ที่เดิม และค่าโดยสารจะถูกกว่าขาขึ้นมาครึ่งต่อครึ่ง หรือแล้วแต่เราจะตกลงกับเขา แต่พวกผมไม่มีใครนั่ง ใช้เป็นรถเพื่อวางสัมภาระกันแทน
นึกว่าความสวยงามจะจบลงแค่ในปล่อง แต่ให้ตายเถอะ วิวขาลงเนี่ยสวยจริงๆครับ เดินเพลินๆชิลๆกันไป เห็นทางที่ขึ้นมาแล้วก็คิดว่า “ไอทางแคบๆชันๆแบบนี้เหรอที่เขาลากเราขึ้นมา ทำได้ไง” เมื่อลงมาถึงข้างล่างจึงไม่ลังเลเลยที่จะให้ทิปเยอะหน่อย
การได้มาพิชิต “คาวาอีเจี้ยน ” ได้มาซึมซับ บรรยากาศบนปากปล่องภูเขาไฟ และเปลวไฟสีน้ำเงินนั้นคุ้มค่า และเป็นประสบการณ์ที่ลืมไม่ลงแน่ๆครับ
TRAVELZEED X INDONESIA พิชิตยอดภูเขาไฟ โบรโม่ ลมหายใจของเทพเจ้า EP. 1:
https://bit.ly/2UBWYmT
โปรแกรมโบรโม่: http://www.travelzeed.com/product?q=bromo&month=0
Facebook: https://www.facebook.com/Travelzeed/
สอบถามข้อมูลโปรแกรมทัวร์ คลิก >> https://goo.gl/HgoKHG
LINE@: @travelzeed