คริสต์มาส ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ สำหรับวันที่หลาย ๆ คน รอคอย 25 ธันวาคม ของทุกปี ถือเป็นวันคริสต์มาส เทศกาลแห่งการเฉลิมฉลอง การมอบรอยยิ้ม ของขวัญ และความสุข แต่ยังมีหลาย ๆ คนไม่รู้ว่าวันนี้มีเรื่องเล่าและความเชื่อกับเทศกาลนี้อย่างไร วันนี้ทราเวลซี้ดได้รวบรวม 5 เรื่องเล่า พร้อมความเชื่อเกี่ยวกับวันคริสต์มาสมาให้ทุกคนได้รู้กันค่ะ
คริสต์มาส (Christmas)
พิธีมิสซาของพระคริสต์ หรือวันสมโภชพระคริสตสมภพ จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีเพื่อเฉลิมฉลองการประสูติของพระเยซู มักจัดวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันหยุดทางศาสนาและวัฒนธรรมโดยประชากรหลายพันล้านคนทั่วโลก
คริสต์มาสคือเทศกาลแห่งความสุขที่ชาวคริสต์ทั่วโลกรอคอย ไม่เว้นแม้แต่คนไทยส่วนใหญ่ที่แม้จะไม่ได้นับถือคริสต์ แต่เราก็ไม่เคยปฏิเสธความสนุก สดใส และบรรยากาศดี ๆ ในช่วงเทศกาลคริสต์มาส
แต่รู้หรือเปล่าว่าความเชื่อวันคริสต์มาสนั้นไม่ได้มีแต่เรื่องราวของซานตาคลอสแสนใจดีเท่านั้นนะ เพราะยังมีเรื่องเล่าวันคริสต์มาสที่แอบน่ากลัวอยู่เหมือนกันด้วยนะ
5 เรื่องเล่า วันคริสต์มาส ก็มีอยู่ว่า ….(5 Christmas stories)
1. ซานตาคลอส (Santa Claus)
ว่ากันว่า คุณลุงชุดแดงผู้ใจดี เขาเป็นผู้นำของขวัญไปแจกให้ถึงที่บ้านของเด็กที่เป็นเด็กดีทั้งหลาย และทุกคนจะจำได้ติดตาด้วยภาพลักษณ์อันสุดแสนจะใจดี ร่างท้วม มีเคราขาว สวมโค้ทสีแดงกับคอเสื้อสีขาว กางเกงขายาวสีแดง เข็มขัดและรองเท้าหนังสีดำ
ตามตำนานเล่าว่า ซานตาคลอสที่เรารู้จักกันดีนั้นมีที่มาจาก เซนต์นิโคลัส สังฆราชแห่งเมืองไมรา ชีวิตวัยเด็กของเซนต์นิโคลัสอาศัยอยู่ทางตอนใต้ของประเทศตุรกีซึ่งเป็นพื้นที่กันดารและเต็มไปด้วยความยากแค้นเนื่องจากชาวโรมันในแถบนั้นกดขี่ชาวคริสเตียนอย่างหนัก
ต่อมาบิดามารดาของเซนต์นิโคลัสเสียชีวิตและได้ทิ้งมรดกไว้ให้เขามากมาย ช่วงศตวรรษที่ 4 นักบุญ (เซนต์) นิโคลัส สังฆราชแห่งเมืองไมรา กระทั่งวันหนึ่งเขาเกิดสงสารครอบครัวของเด็กหญิงผู้ยากจน จึงได้ปีนขึ้นไปบนปล่องไฟแล้วหย่อนถุงเงินลงไปซึ่งถุงนั้นก็ร่วงไปในถุงเท้าที่แขวนอยู่ข้างเตาผิงพอดี
สมาชิกในบ้านหลังนั้นแปลกใจมากว่าใครคือผู้มีน้ำใจมาช่วยเหลือพวกเขา และเมื่อแอบดูก็พบว่าคือเซนต์นิโคลัสในวัยหนุ่มนั่นเอง บางตำนานก็เล่าว่า นักบุญนิโคลัส เป็นนักบุญที่ชาวฮอลแลนด์นับถือ เพราะเป็นนักบุญที่มักช่วยเหลือเด็ก ๆ เมื่อชาวฮอลแลนด์เริ่มอพยพไปอยู่ในสหรัฐฯ ก็นำเอาประเพณีการฉลองนักบุญ นิโคลัส ไปด้วย
เมื่อเวลาผ่านไปก็เปลี่ยนจากนักบุญเป็นชายแก่ตัวอ้วน น่ารัก ใจดี มีพาหนะเป็นกวางเรนเดียร์ลากเลื่อน มามอบของขวัญให้เด็ก ๆ ในวันคริสต์มาสของทุกปี
2.แขวนถุงเท้ายาว รับของขวัญ (Hang stockings, receive gifts)
การได้ของขวัญจากซานต้า ก็ต้องแขวนถุงเท้ายาวเหนือเตาผิงในวันคริสต์มาสอีฟซึ่งได้รับวัฒนธรรมมาจากอังกฤษ ตามตำนานของเซนต์นิโคลัสเล่าว่าเขาเป็นนักบุญที่มีเมตตา ผู้ซึ่งเชื่อว่าจะมีของขวัญเป็นเหรียญทองในถุงเท้ายาวของสาวใช้สามคนที่น่าสงสาร
ผู้ซึ่งต้องการเงินสำหรับสินสอดทองหมั้นแต่งงานของพวกเธอ พวกเธอแขวนถุงเท้ายาวให้แห้งเหนือเตาผิงและเกิดสร้างความประหลาดใจขึ้นเมื่อพวกเธอพบถุงทองคำในถุงเท้ายาวของพวกเธอในเช้าวันรุ่งขึ้น
3.สีแทนวันคริสต์มาส (Christmas color)
หลาย ๆ คนอาจจะยังไม่ทราบกันว่าสีที่ใช้ประดับตกแต่งในวันคริสต์มาสไม่ได้เพียงเป็นสีที่ให้ความสดใส ครื้นเครง สนุกสนานเท่านั้น แต่ยังมีความหมายแอบแฝงอีกด้วย
สีแดง – เป็นสีของผลฮอลลี่ และซานตาคลอสตามศาสนาแล้ว สีแดงหมายถึง ไฟ เลือด และความโอบอ้อมอารี
สีเขียว – เป็นสีของต้นไม้ ความเป็นธรรมชาติ มีความหมายถึงความอ่อนเยาว์และความหวัง ซึ่งเป็นการเปรียบว่าเทศกาลคริสต์มาสคือเทศกาลแห่งความหวัง
สีขาว – นอกจากจะเป็นสีของหิมะแล้ว สีขาวยังเป็นสัญลักษณ์ทางศาสนาด้วย นั่นคือแสงสว่าง ความบริสุทธิ์ ความสุข และความรุ่งเรือง ซึ่งสีขาวจะปรากฏบนเคราและชายเสื้อของซานตาคลอส
สีทอง – เป็นสีของเทียนและดวงดาว ที่หมายถึงแสงอาทิตย์และความสว่างไสว
4.เพลงคริสต์มาส มาจากไหน…? (christmas songs)
คริสต์มาสในสมัยศตวรรษที่ 5 บรรดาบาทหลวง บรรดาฤาษี หรือบุคคลทั่ว ๆ ไป มีการขับร้องบทเพลงคริสต์มาส เป็นภาษาละติน ลักษณะของบทเพลงก็จะเป็นแบบที่เรียบง่ายแต่สง่างาม
โดยบรรยากาศของบทเพลงจะเปี่ยมไปด้วยความหวังและความชื่นชมยินดี ต่อมาในศตวรรษที่ 12 บาทหลวงฟรังซิสแห่งอัสซีซีและคณะนักบวชคณะฟรังซิสกัน
ได้ส่งเสริมสนับสนุน บทเพลงแห่งวันคริสต์มาสให้มีความสง่างาม ความร่าเริง และความชื่นชมยินดีในโอกาสวันคริสต์มาสเสมือนเป็นวิวัฒนาการของบทเพลงวันคริสต์มาส ให้มีชีวิตชีวา พร้อมทั้งเริ่มใช้เป็นภาษาพื้นเมืองมากขึ้น ปัจจุบันเพลงคริสต์มาสก็มีการเพิ่มเติมสีสันมากขึ้นอย่างที่เราได้สัมผัสจนถึงทุกวันนี้
5.ตำนานต้นคริสต์มาส (The Legend of the Christmas Tree)
ต้นคริสต์มาสจริง ๆ แล้ว ก็คือต้นสนที่นำมาประดับตกแต่งนั่นเอง ไม่ใช่ต้นไม้ที่มีพันธุ์ชื่อคริสต์มาสหรืออย่างไรเลย ในสมัยโบราณ ต้นคริสต์มาส หมายถึง ต้นไม้ในสวนสวรรค์ ที่อาดัมและเอวา (อีฟ) ไปปลิดผลไม้มากิน
โดยไม่เชื่อฟังพระเจ้า ตามคัมภีร์ พระเยซูเปรียบเสมือนต้นไม้แห่งชีวิต ซึ่งเป็นเขียวขจีอยู่เสมอในทุกฤดูกาล หมายถึงนิรันดรภาพของพระเยซูเจ้า โดยถือว่าต้นไม้นั้นเป็นจุดศูนย์รวมของครอบครัวในเทศกาลคริสต์มาส แต่ก่อนนิยมประดับประดาต้นคริสต์มาสด้วยลูกแอปเปิ้ลและขนมปัง จนเปลี่ยนเป็นดวงไฟ ขนม และของขวัญอย่างในทุกวันนี้
ปัจจุบันนี้มีต้นคริสต์มาสออกมาจำหน่ายมากมายในช่วงเทศกาลอย่างนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นต้นคริสต์มาสปลอม เพราะดูแลง่าย มีหลายรูปแบบให้เลือก ให้นำมาตกแต่งกันได้ง่าย ๆ น่ารัก สวยงาม และยังถือเป็นกิจกรรมที่ทำกันในครอบครัวมีความสนุกสนานอีกด้วยล่ะค่ะ
ความเชื่อในวันคริสต์มาส (Belief in Christmas)
แครมปัส (Krampus)
ความเชื่อวันคริสต์มาสเกี่ยวกับ Krampus นั้นว่ากันว่ามันคือด้านมืดของซานตาคลอสค่ะ ความเชื่อเรื่องนี้มาจากตอนกลางของยุโรป และแม้ว่าจะหาต้นกำเนิดที่แน่ชัดไม่ได้แต่นักวิชาการก็ยอมรับว่าความเชื่อเกี่ยวกับ Krampus มีมาตั้งแต่สมัยก่อนคริสต์ศักราชแล้ว
ชื่อของ Krampus มาจากภาษาเยอรมันว่า Krampen หมายถึง กรงเล็บ ทำให้รูปลักษณ์ของ Krampus ตามความเชื่อเป็นปีศาจน่าเกลียดน่ากลัวที่มาพร้อมกรงเล็บขนาดใหญ่ เขาสองข้าง และลิ้นยาว ๆ เสมอ โดยชาวบ้านเชื่อว่า Krampus จะมาจับเด็กดื้อใส่ถุงใบใหญ่ของเขาเพื่อนำไปกินเป็นอาหาร และได้มีการเฉลิมฉลองให้ Krampus
โดยการแต่งตัวเลียนแบบรูปลักษณ์ของ Krampus ช่วงก่อนวันคริสต์มาสเพราะเป็นความเชื่อว่าจะสร้างความสมดุลให้กับเทศกาลคริสต์มาส ซึ่งการเฉลิมฉลองนี้อาจเริ่มตั้งแต่ต้นเดือน แต่ส่วนใหญ่จะเริ่มในช่วง Krampus Night หรือ Krampusnacht ซึ่งก็คือคืนก่อนวันเสียชีวิตของเซนต์นิโคลัสหรือคืนก่อนวันที่ 6 ธันวาคมนั่นเอง
เบลสนิเคิล (Belsnickel)
ความเชื่อวันคริสต์มาสเกี่ยวกับ Belsnickel อาจไม่คุ้นหูคนไทยมากนักแต่วันนี้เราจะมาเล่าให้ทุกคนได้รู้กันค่ะ Bels จากชื่อของ Belsnickel มาจากคำว่า ขน ในภาษาเยอรมัน ส่วน nickel หมายถึงซานตาคลอส
เพราะฉะนั้น Belsnickel ก็คือซานตาคลอสในความเชื่อของยุโรปนั่นเอง นอกจากนี้ตามเรื่องเล่าพื้นบ้านของเยอรมัน เขาจะปรากฎตัวขึ้นเพื่อแจกขนมและของขวัญแก่เด็กดีเหมือนซานต้า แต่ในขณะเดียวกันถ้าเจอเด็กนิสัยไม่ดีเมื่อไรรูปลักษณ์ที่ใจดีจะเปลี่ยนไป เสื้อผ้าของเขาจะสกปรก น่ากลัว และแทนที่จะแจกของขวัญเขาก็จะลงโทษเด็กดื้อด้วยการหวดแส้ใส่เด็กเหล่านั้นแทน
ลา เบฟาน่า (La Befana)
ความเชื่อวันคริสต์มาสอย่าง La Befana แม่มดในเรื่องเล่าของชาวอิตาลีที่มีความเกี่ยวข้องกับเทศกาล Epiphany ซึ่งก็คือเทศกาลเฉลิมฉลองหลังวันคริสต์มาส ตำนานเล่าว่านักบุญทั้งสามได้ชวน Befana ให้เดินทางไปเบธเลเฮมเพื่อต้อนรับการประสูติของพระเยซูกับพวกเขา แต่เธอปฏิเสธเพราะตัวเองมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบมากมาย
ซึ่งเมื่อเธอตระหนักถึงความผิดพลาดที่ปฏิเสธไป เธอจึงพยายามเดินทางตามไปกับพวกเขาอีกครั้ง แต่ด้วยความเหน็ดเหนื่อยเมื่อมาถึงเบธเลเฮมเธอจึงทิ้งตัวลงที่ใต้ต้นไม้ จากนั้นกิ่งไม้ได้กลายเป็นด้ามไม้กวาดวิเศษที่ทำให้เธอสามารถบินไปดูพระเยซูที่เพิ่งประสูติได้
หลังจากนั้นก็มีเรื่องเล่าว่า Befana มักปรากฎตัวก่อนและหลังเทศกาลคริสต์มาสเพื่อบินไปแจกขนมและของขวัญแก่เด็ก ๆ ด้วยไม้กวาดของเธอ จนเธอกลายเป็นซานตาคลอสของชาวอิตาเลียนตามเรื่องเล่าโบราณค่ะ
กรีล่า (Grýla)
ความเชื่อวันคริสต์มาสเกี่ยวกับแม่มดร้าย ๆ บ้างดีกว่า Grýla มาจากนิทานพื้นบ้านของไอซ์แลนด์ เธอชอบกินเด็ก ๆ มากกว่าให้ของขวัญพวกเขา เมื่อเทศกาลคริสต์มาสมาถึง เธอจะจับเด็กเข้าไปในกระสอบจากนั้นก็พาพวกเขากลับภูเขาไปต้มซุป รูปลักษณ์ของ Grýla
มักปรากฎในแบบที่ชั่วร้ายเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเขาสองข้างบนศีรษะ มีหางหลายหาง รวมถึงจมูกที่ทั้งยาวและโค้งจนน่ากลัว เป็นหนึ่งในเรื่องเล่าวันคริสต์มาสที่ทำให้เด็ก ๆ ไอซ์แลนด์กลัวตัวสั่นเลยก็ว่าได้
ยูลแมว (Yule Cat) หรือ แมวคริสต์มาส (Jólakötturinn)
คือเรื่องเล่าพื้นบ้านของไอซ์แลนด์อีกเรื่องค่ะ โดยพวกเขาเชื่อว่า Yule Cat คือสัตว์ประหลาดวันคริสต์มาสตัวใหญ่ยักษ์ในรูปลักษณ์ของแมวที่จะยืนคร่อมตัวบ้านหรือยืนอยู่หน้าบ้านเพื่อเฝ้ามองว่าเด็กๆ จะได้รับเสื้อผ้าใหม่ในวันคริสต์มาสหรือไม่
หากพวกเขาได้รับ Yule Cat ก็จะไปดูที่บ้านหลังต่อไป แต่ถ้าไม่ได้รับล่ะก็ Yule Cat ก็จะกินพวกเขา ทำให้เด็ก ๆ กลัวจนอยากจะรับแต่เสื้อผ้าใหม่ ๆกันให้ไวเลยทีเดียว
แมรี ลอยด์ (Mari Lwyd)
ความเชื่อวันคริสต์มาสของวิญญาณม้าที่ปรากฎตัวในรูปโครงกระดูกอย่าง Mari Lwyd หรือ Y Fari Lwyd ซึ่งเป็นความเชื่อของชาวเวลส์ โดยพวกเขาเชื่อว่า Mari Lwyd ปรากฎตัวในรูปหัวกะโหลกม้า ผูกริบบิ้น ระฆัง และแผ่นไม้เพื่อให้ดูน่ากลัว คลุมกายด้วยผ้าสีขาว
จากนั้นก็เดินไปเคาะประตูบ้านเพื่อร้องเพลง ทำการแสดง และประลองปัญญากับสมาชิกในบ้าน เชื่อกันว่าการมาเยือนของ Mari Lwyd จะทำให้บ้านนั้นมีแต่โชคดีไปตลอดปี แต่ก็เหมือนกับเรื่องเล่าเก่าแก่อื่น ๆ ค่ะ คือต้นกำเนิดของ Mari Lwyd นั้นสูญหายไปตามกาลเวลา
แต่เชื่อกันเรื่องราวของ Mari Lwyd มาจากตำนานม้าขาวของบริติชซึ่งเป็นตัวแทนของพลังและความอุดมสมบูรณ์
บทส่งท้าย
อย่างไรก็ตามคริสต์มาสเป็นความเชื่อพื้นบ้านที่เล่าสืบต่อกันมาเพื่อสั่งสอนให้ทุกคนเป็นคนดีนั่นแหละค่ะ ถือเป็นวิธีการอย่างหนึ่งในเทศกาลแห่งความสุขนี้ เป็นยังไงกันบ้างคะ คริสต์มาสยังมีอะไรน่าสนใจอีกเยอะ ใครที่กำลังตั้งตารอจะไปเที่ยวในวันคริสต์มาสนี้ Travelzeed เองก็มีโปรแกรม ทัวร์วันคริสต์มาส ที่จัดเตรียมไว้ให้กับทุกคนในวันหยุดที่จะถึงนี้ เผื่อมีโปรแกรมไหนดึงดูดใจ หรือสนใจสถานที่ไหน ก็สามารถจองหรือสอบถามได้ที่ Line ID : @travelzeed หรือ โทร 02-108-7900