นักเดินทางหลายคนที่สนใจจะไปเที่ยวยุโรปสักครั้งในชีวิต มักลังเลว่าควรไปเที่ยวช่วงไหนดี ไม่ว่าช่วงเดือนไหน สถานที่ท่องเที่ยวยุโรป ก็ล้วนมีเสน่ห์อันน่าหลงใหลในตัวเองทั้งนั้น เเต่ก่อนจะไปดูสถานที่ท่องเที่ยว แวะมาชมกันก่อนค่ะ ว่าที่ยุโรปมีกี่ฤดู
ฤดูกาลในยุโรปแบ่งออกได้เป็น 4 ฤดู ได้แก่
- ฤดูหนาว (ต้นเดือนธันวาคม – ต้นเดือนมีนาคม) เป็นช่วง Low season ของยุโรป จึงทำให้คนไม่แออัด มีสินค้า SALE มากมายตามเมืองใหญ่ๆ เที่ยวตลาดคริสต์มาสตามจัตุรัสกลางเมืองต่างๆ ชมการประดับประดาไฟกับเทศกาลเฉลิมฉลองอันยิ่งใหญ่ของชาวคริสต์
- ฤดูใบไม้ผลิ (ปลายเดือนมีนาคม – กลางเดือนกรกฎาคม) เป็นช่วงฤดูที่ดอกไม้บานสะพรั่ง แสงแดดอบอุ่น อากาศไม่เย็นจัด แต่ยังมีหิมะปกคลุมอยู่บ้าง ผู้คนเริ่มคึกคัก มีสวนดอกไม้ต่างๆ เปิดให้เข้าชม
- ฤดูร้อน (กลางเดือนกรกฎาคม – กลางเดือนกันยายน) มีช่วงกลางวันที่ยาวนานกว่าปกติ ผู้คนคึกคัก ท้องฟ้าสดใส แดดจ้า บางเมืองอาจจะร้อนมาก เป็นช่วงเวลาที่ลดราคาสินค้าครั้งใหญ่ประจำปี
- ฤดูใบไม้ร่วง (ปลายเดือนกันยายน – ปลายเดือนพฤศจิกายน) เป็นช่วงเวลาเก็บเกี่ยวผลผลิต โดยเฉพาะไวน์ ทำให้มีเทศกาลไวน์มากมาย บรรยากาศเริ่มเย็น บวกกับทัศนียภาพที่ใบไม้จะเปลี่ยนเป็นสีส้มแดง เพิ่มความโรแมนติก
การท่องเที่ยวยุโรปในแต่ละช่วงฤดู ให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป สามารถเที่ยวได้ทุกช่วง season วันนี้จะมาแนะนำ 20 สถานที่ท่องเที่ยวยุโรป มีเสน่ห์และน่าดึงดูดในทุกช่วงฤดู ว่าจะมีที่ไหนน่าเที่ยวบ้าง น่าจะช่วยหลายคนตัดสินใจว่าจะไปประเทศไหนได้ดี
- 1. แหลมโรก้า – โปรตุเกส
- 2. ปราสาทนอยชวานชไตน์ – เยอรมนี
- 3. ถ้ำเดเวทาชกา – บัลแกเรีย
- 4. ปราสาทโรเซนเบิร์ก – เดนมาร์ก
- 5. หมู่บ้านชิแวร์นี่ – ฝรั่งเศส
- 6. บ้านคิวบิกเฮ้าส์ – เนเธอร์แลนด์
- 7. กรุงเอเธนส์ – กรีซ
- 8. ธารน้ำแข็งอเลิท์ซ กลาเซียร์ – สวิตเซอร์แลนด์
- 9. โบสถ์แมทเธียส – ฮังการี
- 10. พิพิธภัณฑ์กุกเกนไฮม์ บิลเบา – สเปน
- 11. ทะเลสาบเบลค – สโลวีเนีย
- 12. อารามมรดกโลกรีล่า – บัลแกเรีย
- 13. เทือกเขาคอเคซัส – จอร์เจีย
- 14. ศาลาว่าการกรุงบรัสเซลส์ – เบลเยี่ยม
- 15. จัตุรัสซิตี้ฮอลล์ – เดนมาร์ก
- 16. จัตุรัสสเตฟาน – ออสเตรีย
- 17. สโตนเฮนจ์ – อังกฤษ
- 18. ปราสาทบราน – โรมาเนีย
- 19. เมืองเชสกี้ ครุมลอฟ – เช็ก
- 20. หอปิซ่า – อิตาลี
- บทส่งท้าย
20 สถานที่ท่องเที่ยวยุโรป ที่ต้องไปเห็นกับตาให้ได้สักครั้งหนึ่ง
1. แหลมโรก้า – โปรตุเกส
Cabo da Roca : จุดตะวันตกสุดของโปรตุเกส รวมถึงทวีปยุโรป เป็นแหลมที่ตั้งอยู่ปลายสุดของภูเขาซินตรา ซึ่งเป็นจุดชมวิวทางทะเลยอดนิยมอีกแห่งหนึ่งในโปรตุเกส ด้วยวิวของมหาสมุทรแอตแลนติกสุดกว้างไกล และลมทะเลที่พัดเข้ามากระทบฝั่ง ทำให้มีนักท่องเที่ยวที่มาอย่างไม่ขาดสาย รวมถึงยังเป็นที่ตั้งของประภาคารเก่าแก่ที่เปิดให้ใช้งานมากกว่า 200 ปี
2. ปราสาทนอยชวานชไตน์ – เยอรมนี
Neuschwanstein Castle : ปราสาทหลังนี้ตั้งอยู่ในเมืองฟุสเซน ซึ่งตั้งใกล้กับเมืองมิวนิก หรือ “เมืองแห่งเบียร์” ของชาวเยอรมนี โดยปราสาทแห่งนี้เป็นปราสาทที่ดิสนีย์นำไปเป็นแรงบัลดาลใจ ในการสร้างในสวนสนุกดิสนีย์แลนด์ นอกจากนี้ สถานที่แห่งนี้ยังเป็นตำนานรักสีม่วงของพระเจ้าลุดวิกที่ 2 ที่ทุ่มทุนสร้างปราสาทหลังนี้ขึ้นมาตามบทประพันธ์โอเปร่าของวากเนอร์ที่เขาหลงรัก
3. ถ้ำเดเวทาชกา – บัลแกเรีย
Devetashka Cave : ถ้ำที่ใหญ่ที่สุดในประเทศบัลแกเรีย และยุโรป โดยตัวถ้ำอยู่ห่างจากจังหวัดโลเวชไปทางตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 18 กิโลเมตร ด้วยสภาพแวดล้อมของตัวถ้ำที่เอื้อให้กับการดำรงชีพของสิ่งมีชีวิต จึงไม่แปลกที่จะเป็นพบร่องรอยของการเป็นที่พำนักอาศัยของมนุษย์ในสมัยเมื่อ 70,000 ปีก่อน รวมถึงยังเป็นที่อยู่ของสัตว์อีกหลากหลายชนิด
4. ปราสาทโรเซนเบิร์ก – เดนมาร์ก
Rosenborg Castle : ตั้งอยู่ใจกลางเมืองโคเปนเฮเกน พระราชวังเก่าแก่อายุกว่า 400 ปีแห่งนี้สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 17 โดยสถาปัตยกรรมของพระราชวังโรเซนเบิร์กนั้นได้รับอิทธิพลมาจากสถาปัตยกรรมรูปแบบเรอเนสซองส์ (Renaissance) เดิมทีพระราชวังแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นพระราชวังฤดูร้อน ก่อนที่จะกลายเป็นพระราชวังสำรองเเละเป็นพิพิธภัณฑ์ในปัจจุบัน
5. หมู่บ้านชิแวร์นี่ – ฝรั่งเศส
Giverny : หมู่บ้านสุดอาร์ตที่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของปารีส สถานที่ซึ่งจิตรกรประเภทอิมเพรสชั่นนิมส์ “โกลด มอแน” เคยอาศัยอยู่จนกระทั่งเสียชีวิต ไฮไลท์หลักของที่นี่คือพิพิธภัณฑ์บ้านโมเน่ บ้านของจิตรกรชื่อดังคนนั้นที่สร้างสรรค์งานชื่อดังออกมาหลากหลายภาพตลอดการใช้ชีวิตที่นี่ของเขา และพิพิธภัณฑ์อิมเพรสชั่นนิมส์ ที่ซึ่งมีการจัดแสดงผลงานศิลปะแนวอิมเพรสชั่นนิมส์จากศิลปินชื่อดังวนเวียนเรื่อย ๆ มาไม่ซ้ำกันโดยตลอด
6. บ้านคิวบิกเฮ้าส์ – เนเธอร์แลนด์
The Cube Houses : บ้านทรงลูกบาศก์สีเหลืองสุดแปลกตาจากฝีมือของสถาปนิกชาวดัตช์ที่มาทำโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยในย่านฝั่งท่าเรือเก่าของเมืองรอตเทอร์ดาม พร้อมรูปทรงของบ้านที่โดดเด่น และสีสันที่สดใส รวมถึงยังใช้งานได้จริงด้วยพื้นที่ขนาด 100 ตารางเมตร จึงทำให้ที่นี่กลายเป็นสถานที่ยอดฮิตในการถ่ายรูปของเหล่านักท่องเที่ยวที่มายังเมืองรอตเทอร์ดาม
7. กรุงเอเธนส์ – กรีซ
Athens : เมืองหลวงของประเทศกรีซ ที่ในอดีตนั้นเป็นต้นกำเนิดแห่งวิทยาการต่างๆ ศูนย์รวมแห่งการเรียนรู้ ศิลปะ และปรัชญา จนถูกนำไปเปรียบเปรยว่าเป็นเมืองที่เป็นต้นกำเนิดแห่งอารยธรรมตะวันตก รวมไปถึงจุดเริ่มต้นของกีฬาโอลิมปิคในปัจจุบัน หากใครได้มาไม่ควรพลาดไปชมความยิ่งใหญ่ของเมืองแห่งนี้เลยทีเดียวเชียว
8. ธารน้ำแข็งอเลิท์ซ กลาเซียร์ – สวิตเซอร์แลนด์
Aletsch glacier : ธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในเทือกเขาแอลป์ มีความยาวกว่า 23 กิโลเมตร และเคลื่อนที่ได้เร็วประมาณ 200 กิโลเมตรต่อปี เรียกได้ว่ายาวสุดลูกหูลูกตา แถมเคลื่อนตัวโดยที่ตัวเรานั้นสังเกตุแทบไม่ได้เลย รวมถึงที่นี่ยังเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติแห่งสวิตเซอร์แลนด์ แถมมีกิจกรรมล่องแก่งบนธารน้ำแข็งนี้ด้วยนะ
9. โบสถ์แมทเธียส – ฮังการี
Matthias Church : อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่ไม่ควรพลาด โบสถ์ซึ่งได้รับการขนานนามว่า “Church of Our Lady” ที่อยู่มานานกว่า 700 ปี และด้วยการผสมผสานกันของศิลปะหลากชนิด รวมถึงหลังคาสลับสีอันเป็นเอกลักษณ์ จึงทำให้โบสถ์แห่งนี้นั้นยังไม่เคยขาดนักท่องเที่ยวเลยแม้แต่น้อย
10. พิพิธภัณฑ์กุกเกนไฮม์ บิลเบา – สเปน
Guggenheim Museum Bilbao : สถาปัตยกรรมสมัยใหม่แห่งเมืองบิลเบา ซึ่งเป็นหนึ่งในอาคารที่โดดเด่นที่สุดแห่งหนึ่งของสเปน ที่นี่เป็นยิ่งกว่าพิพิธภัณฑ์ท่องเที่ยวสำหรับเมืองแห่งนี้ มันมีบทบาทสำคัญในการช่วยยกระดับเมืองให้พ้นจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำหลังยุคอุตสาหกรรม ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาด้วยกระเบื้องไททาเนียมเป็นหลัก
11. ทะเลสาบเบลค – สโลวีเนีย
Lake Bled : ทะเลสาบสุดแสนโรแมนติกท่ามกลางหุบเขาจูเลียน แอลป์ (Julian Alps) โดยนักท่องเที่ยวสามารถ เช่าเรือไปยังเกาะกลางทะเลสาบ ซึ่งเป็นที่ตั้งของ โบสถ์พระแม่มารี (Assumption of Mary) หรือโบสถ์อัสสัมชัน (Assumption of Mary Pilgrimage Church) สร้างในศตวรรษที่ 11 ในศิลปะแบบบาโรก ซึ่งมีการประดับตกแต่งด้วยจิตรกรรมฝาผนังที่มีการบำรุงรักษาเป็นอย่างดี
12. อารามมรดกโลกรีล่า – บัลแกเรีย
Rila Monastery : ตั้งอยู่บนเขาริลาทางตอนใต้ของนครหลวงโซเฟีย ถือว่าเป็นศูนย์กลางของจิตวิญญาณที่ใหญ่ที่สุดในประเทศบัลแกเรีย เป็นจุดหมายสำหรับนักแสวงบุญของคริสต์ศาสนิกชนในนิกายออร์โธดอกซ์จากทั่วโลก
โดยสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 10 โดยนักบุญจอห์นแห่งลีร่า ซึ่งรุ่งเรืองมากในสมัยนั้น อารามแห่งนี้ถือเป็นอนุสรณ์สถานของสถาปัตยกรรมและความมั่งคั่งของวัฒนธรรมและศิลปะ ถึงขนาดตัวอาคารหลักขนาดใหญ่ยังสร้างด้วยทองคำแท้แห่งเดียวของบัลแกเรีย โดยได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็น มรดกโลกในปี ค.ศ.1983
13. เทือกเขาคอเคซัส – จอร์เจีย
Caucasus Mountains : ปราการธรรมชาติแบ่งพรมแดนระหว่างทวีปยุโรปและทวีปเอเชีย ตัดพาดผ่าน 4 ประเทศ ได้แก่ รัสเซีย จอร์เจีย อาร์เมเนีย และอาร์เซอร์ไบจาน มีเมืองทบิลิซึเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับนักท่องเที่ยว ที่อยากมาทัวร์จอร์เจีย โดยสถาปัตยกรรมของเมืองทบิลิซึ เป็นบ้านเมืองแบบยุโรปโบราณ มีเอกลักษณ์ด้วยหลังคาสีแดง โบสถ์เมเตคีที่เป็นโบสถ์สำคัญของจอร์เจีย ทำให้ทบิลิซีเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำหรับผู้สนใจศาสนาและประวัติศาสตร์พลาดไม่ได้
14. ศาลาว่าการกรุงบรัสเซลส์ – เบลเยี่ยม
Brussels Town Hall : ศาลาว่าการแห่งนี้ ตั้งอยู่ที่บริเวณจัตุรัสกรองด์ ปลาซ ใจกลางเมืองหลวงของเบลเยี่ยม โดยเป็นศาลาว่าการที่ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ในสมันศตวรรษที่ 15 และยังคงใช้งานมาอยู่จนถึงปัจจุบัน ด้วยดีไซน์ที่เกิดจากการผสมผสานสไตล์กอทิก กับบารอก จึงเป็นอีกสถานที่นึงที่ยอดฮิตสำหรับคนที่มาเที่ยวเบลเยี่ยมเลค่ะ
15. จัตุรัสซิตี้ฮอลล์ – เดนมาร์ก
Copenhagen City Hall Square : ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองโคเปนเฮเกนซึ่งคึกคักเสมอไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน เป็นแหล่งท่องเที่ยวและยังเป็นสถานที่นัดพบยอดนิยม รวมถึงยังเป็นจุดเริ่มต้นในการเที่ยวชมเมืองโคเปนเฮเกนที่สะดวกที่สุดด้วยนั่นเอง
16. จัตุรัสสเตฟาน – ออสเตรีย
Stephansplatz : จัตุรัสซึ่งตั้งอยู่ ณ จุดศูนย์กลางของกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ที่นี่เป็นจัตุรัสที่ถูกตั้งชื่อตามมหาวิหารสเตฟาน ที่เป็นไอคอนนิคหลักของย่านแห่งนี้ โดยจัตุรัสนี้นั้น นอกจากมหาวิหารสเตฟานแล้ว ก็ยังมีฮาสเฮาส์ ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ซึ่งออกแบบโดยสถาปนิกชาวออสเตรีย ที่แม้ตอนแรกจะเป็นข้อถกเถียงกันเรื่องของความลงตัวจากการที่มันตั้งอยู่ตรงข้ามกับมหาวิหาร แต่ความเก่าและใหม่ของพวกมันก็กลับออกมาลงตัวซะงั้น
17. สโตนเฮนจ์ – อังกฤษ
Stonehenge : กลุ่มก้อนหินสุดลึกลับ ที่ตั้งตะหง่านอยู่กลางทุ่งราบซัลลิสเบอร์รี่ บริเวณตอนใต้ของอังกฤษ พวกมันคือกลุ่มก้อนหินจำนวน 112 ก้อนที่ตั้งเรียงซ้อนกันเป็นวงกลม 3 วง และยังมีอายุมากกว่า 5,000 ปี แต่จากการคำนวนของนักวิทยาศาสตร์แล้ว ก็พบว่ามีการก่อสร้างต่อกันมาเรื่อย ห่างกันประมาณ 1,500 ปี แต่ก็ยังไม่สามารถค้นหาจุดประสงค์ในการสร้างพวกมันขึ้นมาได้จนถึงปัจจุบัน
18. ปราสาทบราน – โรมาเนีย
Bran Castle : หรือที่มีชื่อเล่นติดปากกันว่าปราสาทแดร็กคิวล่า สถานที่แห่งนี้คือที่พำนักของเจ้าชายโรมาเนีย วลาด เซเปช เจ้าของฉายา “วลาดที่ 3 จอมเสียบ” ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของตำนานเค้าท์แดร็กคิวล่าจากปลายปากกานักเขียนชาวไอริช จอมแวมไพร์ผู้โด่งดังไปทั่วโลกในงานศิลป์ต่าง ๆ
19. เมืองเชสกี้ ครุมลอฟ – เช็ก
Cesky Krumlov : สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมสำหรับสายถ่ายรูป ด้วยหลังคาสีส้มแดงที่ถูกปูเอาไว้บนอาคารทั่วทุกแห่ง และยังมีปราสาทเชสกี้ ครุมลอฟ ปราสาทอันดับสองของประเทศ ที่อยู่มาตั้งแต่ในสมัยศตวรรษที่ 13 ที่ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็จะเห็นตัวปราสาทที่ตั้งอยู่ได้อย่างชัดเจน รวมถึงสภาพภายในเมืองที่มีตรอกซอยที่เชื่อมต่อกันมากมาย ทำให้สามารถเดินเล่นไปได้ทั่วเมืองเลยค่ะ
20. หอปิซ่า – อิตาลี
Tower of Pisa : หอระฆังคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิก รูปทรงกระบอก 8 ชั้น สูง 56 เมตร มีจุดเด่นอยู่ที่ความเอนของหอระฆัง ซึ่งเอนมากถึง 3.97 องศา โดยจุดเริ่มต้นของการก่อสร้างหอระฆัง ในปี ค.ศ. 1173 หลังจากก่อสร้าง 1 ใน 3 หอก็เริ่มเอน เนื่องจากพื้นดินในบริเวณที่สร้างเป็นดินโคลน ทำให้ฐานข้างหนึ่งของหอยุบตัวไป และหยุดการก่อสร้างต่อ
โดยหอเอนปิซ่าค่อยๆ สร้างจนเสร็จสิ้น ในปี ค.ศ. 1372 ซึ่งมีการดูแลและปรับปรุงให้หอเอนปิซ่าแข็งแรงขึ้นในปี ค.ศ. 1935 และมีการเทคอนกรีตที่รากฐานอีกครั้งในระหว่างปี ค.ศ.1990 – 2001 อย่างไรก็ตามหอเอนมีโอกาสพังถล่มลงแน่นอ เพราะในทุก 20 ปีหอเอนปิซ่าจะเอนลง 1 นิ้ว เพราะฉะนั้นต้องรีบไปเที่ยวอิตาลีให้เห็นหอเอนปิซ่ากับตาตัวเอง