Trekking นับเป็นกิจกรรมเรียกหยาดเหงื่อที่นิยมกันอย่างมากสำหรับนักเดินทางผู้หลงใหลธรรมชาติและนักผจญภัยที่ชอบความท้าทาย เพราะนอกจากอุปสรรคของเส้นทางแล้ว ยังมีเรื่องอาหารการกิน การเข้าห้องน้ำ และการหลับนอนที่เป็นปัจจัยสำคัญ ฉะนั้นจึงถือเป็นสถานที่ทดสอบความอดทนที่หลายต่อหลายคนพากันไปวัดใจ
Trekking คืออะไร ?
Trekking หรือ เทรคกิ้ง คือการเดินทางไกล ที่ใช้เวลาต่อเนื่องกันหลายวัน ทำให้ต้องมีการนอนค้างคืน อาจจะนอนค้างที่เกสต์เฮาส์หรือตั้งแคมป์ กางเตนท์นอน เพราะฉะนั้นต้องเตรียมตัวให้มาก ต้องมีทั้งอุปกรณ์ ความอดทน และสภาพร่างกาย เพื่อเตรียมพร้อมต่อการเดินทางไกล
ข้อควรระวังและสิ่งที่ควรทำ
1. การท่องเที่ยวแบบ Trekking เป็นการเดินทางที่ใช้เวลาหลายวัน ดังนั้นต้องเตรียมตัวอย่างดีเพื่อให้พร้อมต่อการเดินทาง ทั้งสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง หรือ อุปกรณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกล่องปฐมพยาบาล เข็มทิศ เสื้อผ้า เต็นท์ เป็นต้น
2. ต้องมีความอดทนสูง เพราะการเดินทางไกลทำให้คุณอาจจะเจอสถานการณ์ที่ยากลำบาก เช่น ลักษณะของเส้นทาง, อาหารการกิน, ห้องน้ำระหว่างการเดินทางที่อาจจะไม่สะดวกสบาย หากเป็นมือใหม่อาจจะไม่คุ้นชินมากนัก
3. ควรเลือกเส้นทางการ Trekking ล่วงหน้า เพื่อจะได้เตรียมตัวและศึกษาเส้นทาง และถ้าหากเป็นมือใหม่ แรกๆควรเลือกเส้นทางที่ไม่ยากจนเกินไป แต่ถ้าหากคุณมีประสบการณ์แล้ว คุณอาจจะเลือกเส้นทางที่ท้าทายมากขึ้นได้ในอนาคต
วันนี้ Travelzeed จึงรวบรวมพิกัดเส้นทางเดินเขาจากรอบโลกมาให้ทุกคนได้ติดตามไปพร้อมๆกัน
10 พิกัดเส้นทาง Trekking สุดท้าทายจากรอบโลก
1. Routeburn Track, New Zealand
Routeburn Track ตั้งอยู่ระหว่างอุทยานแห่งชาติ Mt.Aspiring และ Fiord Land National Park ระยะเดินเท้า 32 กิโลเมตร ใช้เวลา 2 – 4 วัน ถือเป็นหนึ่งใน Great Walks ของประเทศนิวซีแลนด์
โดย Routeburn Track ได้รับการจัดอันดับจาก Lonely Planet ให้เป็นหนึ่งในเส้นทางเดินป่าปีนที่ดีที่สุดในโลก ด้วยความอลังการของวิวทิวทัศน์ของธรรมชาติสองข้างทาง ผ่านป่าไม้สีเขียวที่ขนาบข้างด้วยลำธารสีฟ้า นกร้องประสานเสียง สูดอากาศบริสุทธิ์ และสัมผัสน้ำตกเย็นๆ ที่ให้ความรู้สึกสดชื่นมีชีวิตชีวา
2. The Matterhorn Circuit, Switzerland
The Matterhorn Circuit เป็นเส้นทางเดินเขาที่เขาแมทเทอร์ฮอร์น ซึ่งเป็นเส้นทางที่โดดเด่นที่สุดของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และเป็นเส้นทางที่สูงที่สุดแห่งหนึ่งในเทือกเขาแอลป์ ตั้งค่อมชายแดนสวิตเซอร์แลนด์และอิตาลี มีความสูงถึง 4,478 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล
ยอดเขาแมทเทอร์ฮอร์นมีรูปร่างสูงแหลมคล้ายพีระมิด และมีลักษณะต่างกันออกไปเมื่อมองต่างด้าน โดยจุดชมวิวที่สวยงามอยู่ใกล้กับเมืองเซอร์แมทในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ทำให้ตลอดการเดินทางจะได้พบกับวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม ความยาว 145 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินเท้าประมาน 8 – 10 วัน
3. Annapurna Circuit, Nepal
Annapurna Circuit เป็นเส้นทาง Trekking แรกๆ ที่เปิดให้ชาวต่างชาติเดินในประเทศเนปาล เป็นเส้นทางเดินรอบภูเขาอันนาปุรณะ ซึ่งมีผู้มาเยือนมากกว่าเขาเอเวอร์เรสถึง 2 เท่า เนื่องจากมีความหลากหลายทางสภาพภูมิศาสตร์ ตั้งแต่ทะเลทรายไปจนถึงภูเขาหิมะ และหลากหลายวัฒนธรรม
อีกทั้งยังมีชนเผ่าที่แตกต่างกันถึง 7 ชนเผ่า ทำให้เส้นทางนี้เป็นเส้นทางคลาสสิกสำหรับนักไต่เขาทั่วโลกเลยทีเดียว เส้นทางนี้ใช้เวลาเดินทั้งหมด 10 – 18 วัน ระยะทาง 160 – 230 กม. แม้จะเป็นเส้นทางที่เดินที่ไม่ยากมาก แต่ควรมีความรู้เกี่ยวกับการเทรคขึ้นที่สูงก่อนไป
4. Fitz Roy Trek, Patagonia, Argentina
Fitz Roy Trek เส้นทาง Trekking ของภูเขาฟิตซ์ รอย เป็นเส้นทางที่ได้รับความนิยมอย่างมากสำหรับนักเดินเขาที่ชื่นชอบสถานที่ห่างไกลจากผู้คน ไร้เสียงรบกวน และเป็นสถานที่ที่ไม่มีข้อจำกัดหรือกฏเกณฑ์ใดๆ มาบังคับ เส้นทางนี้ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติ Los Glaciares ที่จะทำให้นักเดินทางได้เพลิดเพลินไปกับธรรมชาติสวยงาม ธารน้ำแข็ง ทะเลสาบ และยอดของภูเขาสูงชัน
ช่วงเวลาพระอาทิตย์ตกนับเป็นไฮไลท์ของที่นี่เลยก็ว่าได้ เนื่องจากสามารถมองเห็นได้จาก 3 จุด Marconi Pass, Cerro Torre และ eerie beech forest ระยะทาง trek ของ Fitz Roy คือ 30 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินเท้าประมาน 3 – 4 วัน
5. Everest Base Camp, Nepal
Everest Base Camp หรือจุดที่เป็นแคมป์ฐานสำหรับการไต่ขึ้นเขา Everest ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก ด้วยความสูง 8,848 เมตรจากระดับน้ำทะเล การเดินทางในเส้นนี้จะได้สัมผัสความสวยงามของธรรมชาติที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเส้นทางที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
และยังเป็นเส้นทาง Trekking ที่นักพิชิตขุนเขาทุกคนไม่ควรพลาด จุดเบสท์แคมป์นี้มีความสูงที่ 5,545 เมตรจากระดับน้ำทะเล จากจุดนี้จะเป็นจุดที่มองเห็นยอดเขาเอเวอร์เรสต์สวยและชัดเจนที่สุด ใช้เวลาเดินขึ้นมาจุดนี้ทั้งหมด 10 – 15 วันโดยประมาณ
6. Overland Track, Australia
Overland Track เป็นอุทยานแห่งชาติเครเดิลเมาน์เทน-เลคเซนต์แคลร์ (Cradle Mountain-Lake St. Clarir National Park) นับว่าเป็นอีกหนึ่งจุดหมายในฝันของนักนิยมธรรมชาติกันเลยทีเดียวนะคะ เพราะที่นี่มีเส้นทางเดินชมธรรมชาติระยะสั้นและระยะยาว หรือ เรียกว่า Overland Track ที่มีชื่อเสียงระดับโลก ซึ่งใช้เวลาเดินถึง 6 วันเพื่อเดินชมทิวทัศน์ที่สวยงามที่สุดของเทือกเขาแทสมาเนีย
และเป็นอุทยานที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดแห่งหนึ่งของรัฐแทสเมเนีย ระหว่างทางมีโอกาสได้พบกับสัตว์ต่างๆอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น ตัววอมแบต(Wombat), วัลลาบี(Wallabies) หรือหากโชคดีจริงๆก็จะเจอ “ปีศาจแทสมาเนีย” (Tasmanian Devil) ได้เหมือนกัน ซึ่งเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองของออสเตรเลียและจะพบเจอได้แต่เฉพาะที่ Tasmania เท่านั้น
7. Grand Randonee 20 (GR20), France
Grand Randonee หรือ GR20 คือเส้นทางที่ใครต่อใครต่างเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นเส้นทางการเดินที่ยากที่สุดใน Grand Randonnée ของยุโรป ด้วยระยะทาง 180 กิโลเมตร ที่ตัดข้ามเกาะ Corsica ซึ่งเป็นเกาะที่ใหญ่เป็นลำดับที่ 4 ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนจากทางเหนือลงไปทางใต้ ใช้เวลาเดินราว 15 วัน
แม้การไปเดินเขาเส้นทางนี้จะไม่ต้องใช้สกิลการปีนเขาใดๆ แต่เนื่องจากระยะทางที่ค่อนข้างไกล และความสูงชันของภูเขาที่หลากหลาย นักเดินทางควรฟิตร่างกายให้แข็งแรงเพื่อพร้อมกับเดินทางในช่วง 2 อาทิตย์นี้ ช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเดินเขา คือ ช่วงปลายเดือนมิถุนายนจนถึงต้นเดือนกันยายน เพราะอากาศปลอดโปร่ง ไม่ร้อนจนเกินไป ส่วนในเดือนพฤศจิกายนจนถึงพฤษภาคมมีหิมะตก ทำให้เป็นอันตรายสำหรับนักเดินทางในช่วงเวลานี้
8. The Inca Trail, Peru
The Inca Trail สำหรับนักเดินเขาคงไม่มีใครไม่รู้จัก เพราะเป็นเส้นทางที่เต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ ที่ใช้เวลา 4 วัน ไต่ไปตามสันเขาผ่านร่องรอยอารยธรรมชาวอินคา โดยมีปลายทางอยู่ที่มาชูปิกชู
อินคาเทรลถือว่าเป็นเส้นทางที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว โดยเปิดจองล่วงหน้าหกเดือนและเต็มภายใน 24 ชั่วโมง การเดินอินคาเทรลต้องทำผ่านบริษัททัวร์เท่านั้น และมีไกด์คอยนำทางดูแล ไม่สามารถเดินทางไปคนเดียวได้
9. Torres del Paine Circuit, Chile
Torres del Paine Circuit ความยาว 110 กิโลเมตรนี้ เป็นเส้นทางที่ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติทอเรา เดล พายเน่ ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศชิลี ในบริเวณ Patagonia ที่มียอดเขาแกรนิต 3 ยอดเป็นสัญลักษณ์
Torres Del Paine นี้ได้รับการจัดลำดับจาก National Geographic (Special Edition) ว่าเป็นอุทยานแห่งชาติที่สวยที่สุดในโลกอันดับ 5 นับได้ว่าเป็นสวรรค์ของเหล่า backpacker หรือนักผจญภัยที่รักธรรมชาติ และเส้นทางการเดินก็ติดอันดับต้นๆของโลกเช่นเดียวกัน เส้นทางการเดินแบ่งออกเป็น 3 เส้นทาง โดยระยะเวลาอยู่ราวๆ 5 – 10 วัน
10. The Haute Route, France-Switzerland
The Hauted Route ในบรรดาเส้นทางเดินเขาที่ดีที่สุดของโลก Haute Route จัดเป็นหนึ่งในจุดหมายสำหรับนักเดินทางที่รักการเดินเขาเป็นชีวิตจิตใจ เส้นทางนี้จะนำทุกคนไปสัมผัสกับความงามของผืนป่าประเทศสวิตเซอร์แลนด์
ในขณะเดียวกันตลอดทางก็ละลานตาไปด้วยทัศนียภาพที่แสนตราตรึงของเทือกเขาแอลป์ ยอดเขาหินที่เรียงสลับซับซ้อน ธารน้ำแข็งสุดลูกหูลูกตา ทะเลสาบสีฟ้าใส กระท่อมที่พักอาศัยของชาวเมือง และอากาศที่บริสุทธิ์ ระยะทางโดยประมาณอยู่ที่ 160 – 207 กม. ขึ้นอยู่กับแต่ละเส้นทาง ส่วนมากมักจะใช้เวลาเดินเท้าทั้งหมด 9 – 14 วัน
บทส่งท้าย
เป็นอย่างไรกันบ้างคะ สำหรับ 10 พิกัดเส้นทาง Trekking ที่นำเสนอไปข้างต้น เสน่ห์ของแต่ละสถานที่นั้นแตกต่างกันไป มีทั้งความสวยงามและความท้าทาย เพื่อให้เหล่านักผจญภัยและนักเดินทางได้ไปสัมผัสกัน หากใครสนใจ Travelzeed มี โปรแกรมทัวร์ยุโรปคอนเฟิร์มเดินทาง ด้วยนะคะ หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่ Line : ID @travelzeed หรือ โทร 02-108-7900